อืมม์ม์ม์...ถึงขั้นถูกด่าว่า ด่าทอ ชนิดป่นๆ ปี้ๆ ถูกกล่าวหาว่าเป็น รัฐบาลขอทาน เอาเลยถึงขั้นนั้น สำหรับการออกมาแถลง หรือป่าวประกาศอย่างเป็นทางการ ของท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ว่าคิดจะส่งจดหมายเทียบเชิญ 20 มหาเศรษฐีไทย ให้มาร่วมมือ ร่วมใจ ฝ่าวิกฤติ COVID-19 ไปด้วยกัน ทั้งที่ยังไม่มีอะไรชัดเจนว่าท่านคิดจะ รีด จะ ไถ หรือคิดจะทำอะไรกันแน่!!!
----------------------------------------------------
คือถ้าหากคิดจะรีด จะไถ หรือจะขอทาน...ก็คงไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องเอามาเปิดเผย มาป่าวประกาศ มาแถลงอย่างเป็นทางการ ให้ต้องเสียเวลา เสียรังวัดใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แค่กระซิบแผ่วๆ ข้างๆ หู หรือแค่ทำแบบที่ เสือเตี้ย-สนานจิตต์ บางสะพาน เขาเขียนสคริปต์ไว้ให้ล่วงหน้า ว่าแค่เดินเข้าไปในโต๊ะแชร์ แล้วสะบัดชายเสื้อให้เห็นด้ามปืนโผล่ออกมาแวบๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็น่าจะเรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียน ซุ้มมือปืน และ ขังแปด ได้โดยไม่ยากซ์ซ์ซ์ หรือยิ่งไม่ต้องแถลง ไม่ป่าวประกาศ ก็ยิ่งน่าจะช่วยให้รีดง่าย ไถง่าย ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
---------------------------------------------------
แต่การที่ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ท่านกลับนำเอาสิ่งเหล่านี้มาป่าวประกาศ มาเปิดเผยอย่างเป็นทางการ มันจึงน่าจะมีอะไรมากไปกว่า การคิดคำนวณในแบบหยาบๆ ง่ายๆ ทื่อๆ อันมักเป็นไปตามพื้นฐาน ตามวาสนา หรืออุปนิสัยและสันดาน ของแต่ละคน แต่ละราย ที่แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะนอกจากการแถลง การป่าวประกาศ ในเรื่องทำนองนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ท่านได้พูดเอาไว้ด้วย แต่อาจไม่ถึงกับมีใครให้ความสนใจ หรือไม่สามารถหยิบมาเป็นประเด็นในการด่าว่า ด่าทอ ได้มากมายซักเท่าไหร่ นั่นคือสิ่งที่ท่านใช้คำเรียกเอาไว้ว่า ความเป็นตัวตนของสังคมไทย หรือถ้าจะเรียกว่า ความเป็นไทย ก็ไม่น่าจะผิดไปจากความหมายมากมายเกินไปนัก...
-------------------------------------------------
คือ ความเป็นไทย หรือ ความเป็นตัวตนของสังคมไทย นั้น...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า เป็นสิ่งที่ได้รับการพัฒนา หรือได้เจริญเติบโต มาพร้อมๆ กับ ค่านิยมทางสังคม อันเคยเป็นที่รู้จักแพร่หลายโดยทั่วไป จากบรรดานิยาย ตำนาน หรือชาดกทางพุทธศาสนาในหลายต่อหลายเรื่องนั่นแล รวมไปถึงชาดกอันว่าด้วยเรื่องของมหาเศรษฐี อย่าง อนาถปิณฑิกเศรษฐี หรืออภิมหาเศรษฐีผู้มีนามเดิมว่า สุทัตตะ แต่ด้วยเหตุเพราะความใจบุญ สุนทาน ความเมตตากรุณา ความรู้สึกเห็นอก เห็นใจ ต่อบรรดาคนยาก คนจน คนอนาถา พร้อมที่จะเสียสละ พร้อมที่จะบริจาค ให้กับบรรดาเพื่อนมนุษย์ หรือเพื่อนผู้ร่วมวัฏสงสารด้วยกันมาโดยตลอด จึงได้รับการเรียกขาน กล่าวขาน ในนาม อนาถปิณฑิกเศรษฐี ด้วยประการฉะนั้น...
-----------------------------------------------
นิยาย นิทาน ตำนาน หรือชาดก ในเรื่องราวที่ว่า...จะจริง-ไม่จริงก็ตามที แต่ก็น่าจะมีส่วน หรือมีบทบาทอิทธิพลมิใช่น้อย ในการหล่อหลอมให้เกิด ค่านิยมทางสังคม อันนำไปสู่การเจริญเติบโต การยกระดับพัฒนาจนกลายมาเป็น สังคมไทย หรือกลายมาเป็น ความเป็นตัวตนของสังคมไทย หรือ ความเป็นไทย ก็แล้วแต่จะเรียก และด้วยความอะไรต่อมิอะไรที่ว่านี้นี่แหละมันจึงทำให้สังคมไทย ออกจะเป็นสังคมที่มีลักษณะพิเศษ หรือลักษณะเฉพาะบางอย่าง ที่ผิดแผก แตกต่าง ไปจากบ้านอื่น เมืองอื่น มิใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความมีน้ำใจ ไมตรี ความเมตตากรุณา ความใจบุญ สุนทาน จนอาจถือเป็น มหาอำนาจแห่งการบริจาค เอาเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเกิดเรื่อง เกิดเหตุใดๆ ก็ตามที ตั้งแต่อภิมหาเศรษฐี เศรษฐี ไปจนถึงปุถุชนคนธรรมดา ก็พร้อมที่จะควักอะไรต่อมิอะไรออกมาบริจาค ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
------------------------------------------------
และด้วย ค่านิยม ทำนองนี้นี่เอง...ที่ทำให้สังคมไทย ไม่เพียงกลายเป็นสังคมที่คนรวย-คนจน เศรษฐี อภิมหาเศรษฐี ไปจนถึงปุถุชนคนธรรดาและยาจก สามารถ อยู่ร่วมกันโดยสันติ มาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นสังคมที่ผู้คนต่างบ้าน ต่างเมือง ต่างชาติ ต่างภาษา หรือกระทั่งต่างศาสนา สามารถยึดไว้เป็นเรือนตาย อยู่-เย็น-เป็น-สุข ได้โดยไม่คิดจะหนีไปที่อื่น แถมยังช่วยให้รอดพ้นไปจากปากเหยี่ยว ปากกา รอดพ้นจากอาการบ้านแตก สาแหรกขาด อย่างที่ประสบพบเห็นในบ้านอื่น เมืองอื่น ที่อยู่รายรอบข้าง ชนิดไม่ว่า ประธานเหมา หรือ เลนิน อาจถึงกับงงๆ อยู่บ้าง ที่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตาม ทฤษฎีโดมิโน ที่นักทฤษฎีการเมืองอเมริกันเคยคาดๆ เอาไว้ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้...ล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านเคยได้ให้คำตอบเอาไว้ชัดเจน ว่าหนีไม่พ้นไปจากสิ่งที่เรียกว่า ความเป็นไทย หรือ ความเป็นตัวตนของสังคมไทย นั่นแล...
-------------------------------------------------
พูดง่ายๆ ว่า...ก็ด้วยเหตุเพราะ ธรรมะ นั่นแล ที่ได้ช่วยปกป้อง คุ้มครองผู้ประพฤติธรรม และได้ช่วยปกป้อง คุ้มครอง สังคมไทยมาโดยตลอด การหาทางทำให้คนรวย-คนจน คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชั้น สามารถ เข้าถึง และ เข้าใจ ต่อธรรมะในลักษณะที่ว่าได้มากยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเรียกว่าคุณธรรม มโนธรรม เมตตาธรรม ขันติธรรม ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ให้มากๆ เข้าไว้ หรือให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก็จึงไม่ต่างไปจากการก่อสร้างหรือฟื้นฟู เครือข่ายป้องกันทางสังคม เอาไว้ล่วงหน้านั่นเอง อันไม่เพียงแต่เป็นการยังประโยชน์ให้กับผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชั้น แต่ยังช่วยให้ทุกๆ ชั้นชนสามารถ อยู่ร่วมกันโดยสันติ ได้ต่อไปโดยตลอด...
------------------------------------------------
ยิ่งในช่วงจังหวะที่การแพร่ระบาดของเชื้อ ไวรัสแท้ๆ อย่าง COVID-19 มันได้ชักนำเอา ไวรัสทางความรู้สึก แทรกซ้อนผสมปนเปเข้ามาอีกด้วย ไวรัสที่ทำให้สิ่งที่อยู่ตรงข้ามธรรมะ ไม่ว่าความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท ริษยา และชิงชัง ถูกแพร่กระจายไม่น้อยไปกว่าการแพร่ระบาดของไวรัสแท้ๆ ชนิดที่ใครก็ตามที่ได้ชื่อว่า เจ้าสัว ล้วนเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าชัง ไปด้วยกันทั้งสิ้น การสื่อสาร หรือการป่าวประกาศไปยังบรรดาอภิมหาเศรษฐีทั้งหลาย อย่างเปิดเผย ตรงไป-ตรงมา ให้ร่วมฝ่าฟันวิกฤติ อย่างที่ อนาถปิณฑิกเศรษฐี ได้เคยสร้างแบบอย่าง แนวทางเอาไว้แล้ว จึงเป็นอะไรที่ต้องถือว่า ไม่ธรรมดา โดยจะไปใช้แนวคิด มุมมอง แบบหยาบๆ ง่ายๆ แบบพวกที่เคยมีประสบการณ์ในการรีด การไถ มาก่อนหรือไม่ อย่างไร? มาใช้เป็นตัววัดตัดสิน มันคงไม่น่าจะถูกเรื่อง หรือไม่น่าจะเข้าท่าแต่อย่างใด...
-----------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Plato (อีกครั้ง)... “Virtue does not spring from riches, and all other human blessings, both private and public, from virtue. - คุณธรรมมิได้เกิดจากทรัพย์ศฤงคาร หรือการประทานพรใดๆ ทั้งสิ้น คุณงามความดีของมนุษย์ทุกประการ ไม่ว่าส่วนตัวหรือสาธารณะ ล้วนมีกำเนิดจากคุณธรรม...”
-----------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |