หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ออกมากล่าวขอโทษประชาชนหลังผิดพลาดเรื่องการสื่อสารว่ามีเงินจ่าย 5 พันบาท จากงบกลางปี 63 เพียงเดือนเดียวเท่านั้น

      กระทั่งสื่อสำนักต่างๆ พาดหัวข่าวทำชาวบ้านตกใจขวัญผวาสั่นสะเทือนไปทั้งประเทศ ขณะที่โลกโซเชียลโหมกระหน่ำโจมตีจนยอดทวิตเตอร์พุ่ง 6 แสนทวีต ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งว่า “#รัฐบาล สต.” เมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา   

      จน “บิ๊กตู่” ต้องออกมาแก้ลำวันถัดมา ยืนยันอย่างชายชาติทหารว่ามีเงินจ่ายค่าเยียวยา 3 เดือน โดยอาศัยอำนาจฝ่ายบริหารผ่าน พ.ร.ก.เงินกู้ จำนวน 1 แสนล้านบาท จ่ายในเดือนที่สองและสาม  

      แต่งานนี้คนที่ปวดขมับแบบสุดๆ คงหนีไม่พ้น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง เจ้าของโปรเจ็กต์ จ่ายเงินเยียวยา 5 พันบาท ผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com หลังจากตกความละเอียดไม่สื่อสารทำความเข้าใจกับนายกฯ ให้ดี กระทั่งมาตรการนี้สะดุดในแง่ความเชื่อมั่นจากประชาชน และต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่กู้ศรัทธาอีกครั้ง    

      สำหรับ ร่าง พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท หลัง ครม.เห็นชอบ ต้องดูว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันใด จากนั้นรัฐบาลโดยฝ่ายบริหารจะมีอำนาจไปกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ ว่ามีที่ใดให้กู้ได้บ้าง ในสถานการณ์เกิดวิกฤติเศรษฐกิจลามไปทั่วโลกเพื่อให้ทันจ่ายงวดที่สองและสาม คือในเดือน พ.ค. และ มิ.ย. บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้สำเร็จ ภายใต้กระแสความห่วงใยคงจะไม่ไปกู้เงินกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ

      นอกจากหาเงินกู้แล้ว สิ่งที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นประการต่อมาคือ การจ่ายเงินประชาชน ต้องทั่วถึงและไม่เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะมิเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากในอดีตที่เคยมีรัฐบาลดีแต่พูด หรือสัญญาแล้วทำไม่ได้ จึงได้แต่หวังว่าสถานการณ์ตอนนี้จะไม่ซ้ำรอยเดิม จนทำให้กลายเป็น “รัฐบาลดีแต่พูดภาคสอง”  

      ดังนั้นทีมเศรษฐกิจผ่านกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้รับผิดชอบมาตรการนี้โดยตรง จำเป็นจะต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด หรือเกาให้ถูกที่คัน โดยการใช้โอกาสเปิดให้ประชาชนอุทธรณ์สิทธิ์รับเงินเยียยา 5 พันบาท ในวันที่ 20 เม.ย.นี้ แก้ไขจุดอ่อนเดิมให้สำเร็จ

      มิใช่ปิดประตูใส่ชาวบ้านที่ร้องเรียนที่กระทรวงการคลัง หลังไม่พอใจที่ตกสำรวจจากปัญญาประดิษฐ์ หรือระบบเอไอ ด้วยการถูกเขี่ยรายชื่อทิ้ง พร้อมกับข้อกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม

      ไม่นับหลังจากนี้จะเกิดความวุ่นวายตามมาอีกหรือไม่ หลังรัฐบาลจะจ่ายเงินให้เกษตรกรอีก 17 ล้านคน และนักเรียน นักศึกษา อีกด้วยว่าจะยังมีใครตกสำรวจอีกหรือไม่ รวมทั้งตาสีตาสาที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ลงทะเบียนไม่เป็น จะถือว่าเสียสิทธิ์หรือไม่  

      เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เข้ายื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบโครงการเงินเยียวยา 5 พันบาท ว่ากระทรวงการคลังเลือกปฏิบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และทำข้อมูลเท็จที่ทำให้ประชาชนเสียสิทธิ์หรือไม่  

      เท่านั้นไม่พอยังถูกฝ่ายค้านโหนดิสเครดิต ให้ติดหล่มความน่าเชื่อถือเป็นศูนย์ โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลกลับไปกลับมา ตอนแรกบอกให้ 3 เดือน เดี๋ยวขยับเป็น 6 เดือน แล้วมาเหลือ 3 เดือนอีก ตอนนี้จะมาให้แค่เหลือ 1 เดือนก่อนแล้วไปรอ พ.ร.ก.เงินกู้ ซึ่งมันไม่เกี่ยวกัน มันอยู่ที่ความใจถึงและเจตนาดี รักประชาชนของรัฐบาลมากขนาดไหน

        “ขอให้รัฐบาลอย่าทำให้ฝันหน้าแล้งของชาวบ้านดับสลายเสียจนน้ำตาไม่มีจะไหลอีกเลย เพราะผิดหวังมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว อย่าทำร้ายประชาชนด้วยวิธีการแบบนี้อีก” ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าว   

      แต่ที่เจ็บใจกว่าคือ การชิงจังหวะทางการเมืองบนความไม่แน่นอนและผิดพลาดของรัฐบาลเอง ผ่าน นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานมูลนิธิไทยซัมมิทพัฒนา มารดาของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ลงพื้นที่บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ นำข้าวสารพร้อมด้วยหน้ากากอนามัย เฟซชิลด์ และเงินช่วยเหลือครอบครัวละ 2 พันบาท ให้ชาวบ้านประมาณ 500 ครอบครัว รวมเป็นเงินกว่า 1.2 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

      งานนี้ได้เสียงเชียร์จากคนที่เดือดร้อนไปเต็มๆ โดยไม่ต้องรอการจ่ายเงินเยียวยาของรัฐบาลจำนวน 5 พันบาท แม้จะมีเสียงครหาแอบช่วยฐานฐานเสียงทางการเมืองของพรรคลูกชายหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย 

      ขณะที่ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐและเลขานุการ รมว.การคลัง ออกมายืนยันกรณีจ่ายเงินเยียวยา 5 พันบาท ว่ารัฐบาลไม่ได้กลับไปกลับ และขอความกรุณานายจิรายุ อย่าพยายามบิดเบือน อย่าดรามา วันนี้รัฐบาลจะทำทุกวิถีทางเพื่อดูแลประชาชนที่เดือดร้อนทุกกลุ่ม

      ต้องจับตาหลังจากนี้รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังจะทำตามที่สัญญาได้หรือไม่ ด้วยการกระจายเงินเยียวยา 5 พันบาทอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ปิดช่องสร้างวาทกรรม “รัฐบาลดีแต่พูดภาคสอง”.

                                                 ลูกหลานคลองเตย