เฉพาะแค่เจอกับตัว ไวรัสแท้ๆ กว่าจะเอาให้อยู่...ต้องเรียกว่า เลือด-ตาแทบกระเด็น แต่เมื่อต้องเจอกับ ไวรัสทางความรู้สึก เข้าไปซะอีก โอกาสจะสู้รบตบมือ จะควบคุม บังคับ ไม่ให้โน่นๆ นี่ๆ เหมือนอย่างห้ามออกจากบ้านหลังสี่ทุ่ม หรือห้ามซื้อเหล้า ขายเบียร์ ฯลฯ อะไรประมาณนั้น ยังไงๆ...มันคง ห้ามความรู้สึก ไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ...
--------------------------------------------------
และบรรดา ความรู้สึก ที่ชักเริ่มออกอาการติดเชื้อ และแพร่เชื้อ อยู่ในช่วงระหว่างนี้...คงหนีไม่พ้นไปจากความรู้สึกในเรื่อง เงินๆ-ทองๆ หรือเรื่อง เศรษฐกิจ นั่นแหละทั่น!!! ประเภททำไมคนโน้นได้ 5,000 คนนั้นได้ 5,000 แต่สำหรับ ตัวฉัน หรือ ตัวกู-ของกู กลับต้อง แห้วกระป๋อง ซะเฉยเลย ทั้งที่โดยคุณสมบัติ โดยข้อเท็จจริง ต่างก็เดือดร้อน ลำเค็ญ ในลักษณะไม่ต่างไปจากกัน แต่จะด้วยเพราะ ระบบข้อมูล ของรัฐ ที่ออกจะ ไม่เป็นระบบ มานานแล้ว หรือจะด้วยเหตุผลกลใด ก็มิอาจทราบได้ ไวรัสทางความรู้สึก ที่สามารถก่อให้เกิดความเจ็บใจ น้อยใจ คับแค้นใจ เผลอๆ...ถึงขั้นเคียดแค้นเอาเลยก็เป็นได้ มันเลยเริ่มแพร่ระบาด เริ่มก่อให้เกิดอาการติดเชื้อ ลุกลามไปในหมู่ผู้คนจำนวนไม่น้อย...
-------------------------------------------------
คือประเภทที่ได้รับอานิสงส์ ได้รับเฮลิคอปเตอร์มันนี่ จากรัฐบาลไปแล้วประมาณ 9 ล้านรายนั้น จะเกิดความรัก ความดื่มด่ำ ความซาบซึ้ง ประทับใจ ต่อรัฐบาลกันไปในแต่ละราย หรือไม่ อย่างไร? ก็ยังยากซ์ซ์ซ์ที่จะสรุปได้ โดยเฉพาะประเภทที่ตั้งความหวังเอาไว้สูงโด่เด่ ว่าน่าจะแบมือรับยาวว์ว์ว์ไปได้ถึงครึ่งปี หรือ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย แต่หลังจากกระทรวงการคลังท่านพูดผิด หรือพูดไม่ครบ แล้วต้องออกมาพูดใหม่ ประมาณว่า ถ้าหากเชื้อไวรัสแท้ๆ มันเกิดหมดฤทธิ์ หมดเดช ลงไปก่อนหน้านั้น โอกาสที่จะแบมือขอเงินจากรัฐบาลเดือนละ 5,000 อาจต้องหดลงมาเหลือแค่ 3 เดือน เผลอๆ...อาจสั้นยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่แน่??? อันนี้...เลยส่งผลให้บรรดา ไอ้หวัง ทั้งหลาย ย่อมต้องรู้สึกไม่สมหวังเป็นธรรมดา แม้ไม่ถึงโกรธ เกลียด เคียดแค้นรัฐบาลก็เถอะ แต่คงไม่ถึงกับดูดดื่ม ดื่มด่ำ มากมายซักเท่าไหร่นัก...
------------------------------------------------
ส่วนประเภทที่ลงทะเบียน ลงบัญชี ไม่ว่าโดยการกรอกเอง หรือจ้างวานให้ใครกรอก ที่ว่ากันว่า...ปาเข้าไประดับ 20 กว่าล้านโน่นเลย แต่ดันต้องถูก คัดออก ไปประมาณ 14-15 ล้านเป็นอย่างน้อย ประเภทนี้...คงยากซ์ซ์ซ์เอามากๆ ที่จะเกิดความรู้สึกในแง่ดี หรือแง่บวกต่อรัฐบาล แม้ยังมีความหวังว่าอาจได้รับอานิสงส์ในทางอื่น แต่ถ้าหากความหวังที่ว่า..ดันมาล่า มาเรือ หรือมาช้าเกินไป จะด้วยเหตุเพราะต้อง รอเงินกู้ หรือเพราะยังต้องศึกษารายละเอียดมาตรการในแต่ละเรื่อง แต่ละด้าน ก็แล้วแต่จะว่ากันไป ความหวังที่ล่าช้า...ก็อาจไม่ต่างอะไรไปจากความยุติธรรมที่ล่าช้า คืออาจก่อให้เกิดผลลบ หรือเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อรัฐบาลเอาง่ายๆ...
---------------------------------------------------
ประดาสิ่งเหล่านี้นี่แหละ...ที่มันจะกลายเป็นตัวแพร่ระบาด ไวรัสทางความรู้สึก ให้เกิดอาการติดเชื้อ เกิดความป่วยไข้ทางสังคม ได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ เกิดความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท ริษยา และชิงชัง ความไร้เหตุ ไร้ผล หรือกระทั่งไร้สติ อุบัติขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ โดยเฉพาะถ้าพื้นฐานทาง ธรรมะ ในสังคมนั้นๆ ยังไม่แข็งแกร่ง เพียงพอ ไม่ว่าคุณธรรม มโนธรรม หรือขันติธรรม ก็ตาม ความเป็น ตัวกู-ของกู อันเป็นสิ่งที่ถูกเพาะเชื้อ บ่มเชื้อ ถูกปูรากฐานเอาไว้ตาม ธรรมชาติแห่งทุนนิยม มันก็จะได้เวลาแสดงตัวตนของมันออกมา แบบเดียวกับการอุบัติขึ้นมาของเชื้อโคโรนาไวรัส นั่นแล...
--------------------------------------------------
และคงไม่ใช่แต่เฉพาะรัฐบาลไทย ของท่านนายกฯ บิ๊กตู่ เท่านั้น ที่อาจต้องเจอกับ ไวรัสทางความรู้สึก โดดกินปอด กินม้าม กินตับ กินไต ไปจนถึง กึ๋น เอาเลยก็ไม่แน่ แต่แทบทุกๆ รัฐบาล...ที่ต่างก็มีสูตรการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจคล้ายๆ กัน คือหนีไม่พ้นต้องหันไปลด-แลก-แจก-แถม ต้องหว่านเงิน โปรยเงิน ลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ ไม่ก็ลงมาจากเครื่องบินทิ้งระเบิด เอาเลยถึงขั้นนั้น คือหนีไม่พ้นต้องอัดๆ ฉีดๆ ตามแนวทาง ทฤษฎี ตามระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมทั้งหลาย ในระดับ ล้านล้าน ไม่ว่าบาท หรือดอลลาร์ จนมาถึง ณ ขณะนี้...ว่ากันว่า น่าจะไม่ต่ำไปจาก 8 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 240 ล้านล้านบาทเข้าไปแล้ว ในระดับทั่วทั้งโลก แต่ถึงกระนั้น...ก็ยังถือว่า ไม่เพียงพอ อันนี้...ถ้าว่าตามความคิด ความเห็น ของผู้อำนวยการบริหารองค์กรการเงินระหว่างประเทศ หรือไม่ได้ช่วยให้อะไรดีเด่ขึ้นมามากมายซักเท่าไหร่ เผลอๆ...อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง ต่อเนื่องกันไปในระยะยาว ไม่ว่าปัญหาเงินเฟ้อ และอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะมากมาย...
-----------------------------------------------
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่อัดฉีดก็ไม่ได้ อัดฉีดไปแล้วก็ไม่ได้ถูกเรื่อง ถูกราว หรือไม่ได้ช่วยแก้ปัญหามากมายซักเท่าไหร่นัก แถมอาจก่อให้เกิดการแพร่เชื้อ ไวรัสทางความรู้สึก ที่สร้างผลลบให้กับรัฐบาลแต่ละรัฐบาล หรือสังคมแต่ละสังคม ขึ้นมาซะอีก ทำไงได้ในเมื่อ ธรรมชาติของทุนนิยม มันได้ทำให้แต่ละประเทศ แต่ละสังคม ต่างวิ่งตามกันลงหน้าผา หุบเหว เหมือนกับตัว เลมมิ่ง (Lemming) ในหนังสารคดีอะไรทำนองนั้น ด้วยเหตุนี้...ก็คงเหลือแต่ต้องพยายามหันไปหา ธรรมะ ให้มากๆ เข้าไว้นั่นแหละ ถึงอาจพอช่วยระงับยับยั้ง ไวรัสทางความรู้สึก ได้มั่ง โดยเฉพาะถ้าแนวโน้มเศรษฐกิจไม่ว่าของโลก หรือของประเทศไทย เกิดหวนกลับไปสู่ยุค The Great Depression หรือยุควิกฤติเศรษฐกิจ ปี ค.ศ.1930 อย่างที่ใครต่อใคร รวมทั้ง IMF เขาว่าไว้ เพราะอีกแค่ 2 ปีหลังจากนั้น อย่าลืมว่า...ตรงกับปีพุทธศักราช 2475 ในประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา พอดิบ พอดี...
--------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก “George Santayana”... “Those who cannot remember the past are condemned to repeat it. - ผู้ที่ไม่จดจำอดีต คือผู้มีกรรมที่จำต้องย้อนรอยอดีต...”.
--------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |