16 เม.ย.63- สำนักข่าว The Japan News ในเครือ The Yomiuri Shimbun รายงานเมื่อวันที่ 15 เม.ย. ว่าชายชาวญี่ปุ่นที่ย้ายมาทำงานที่เมืองไทยเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลหลังติดเชื้อโควิด-19  

ชายชาวญี่ปุ่นอายุ 36 ปี ซึ่งผู้บริหารบริษัท ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกล่าวว่า“ หากไม่มีมาตรการที่เข้มงวดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดยั้งการแพร่กระจายของการติดเชื้อ”

จำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มเพิ่มขึ้นในประเทศไทยในช่วงเวลาที่เขาเริ่มใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ทางการไทยประกาศเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปิดร้านอาหาร สถานเสริมความงาม และศูนย์บริการลูกค้าอื่น ๆ ในกรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียง

ต่อมาวันที่ 26 มีนาคมประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติห้ามมิให้ผู้คนรวมตัวกันเป็นกลุ่ม และในวันที่ 2 เมษายน ประกาศเคอร์ฟิว ในระหว่างเวลา 22.00 น. และ 4:00 น. ผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษจำคุกสูงสุด 2 ปีหรือปรับสูงสุด 40,000 บาท (ประมาณ 130,000 เยน)

ผู้บริหารบริษัทชาวญี่ปุ่นเผยว่า ป้องกันตัวเองเมื่อออกไปข้างนอก และสวมหน้ากากเสมอเมื่อไปซื้อของ

อย่างไรก็ตามเขาเริ่มมีอาการไอเมื่อปลายเดือนมีนาคม เมื่อวันที่ 2 เมษายนเขามีไข้มากกว่า 37 C และไอมีเสมหะ เขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในวันนั้นเพื่อรับการตรวจ และในวันถัดไปก็ยืนยันว่าเขาติดเชื้อไวรัสโควิด-19

ชายคนนั้นถูกทดสอบอีกครั้งในวันที่ 7 เมษายนและในวันต่อมาพบว่าหายป่วย  อย่างไรก็ตามเขาจะยังคงต้องอยู่ในโรงพยาบาลจนถึงประมาณ 20 เมษายน

“ การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในประเทศที่ไม่คุ้นเคยนั้นเป็นเรื่องเครียด” เขากล่าว

จากข้อมูลที่รวบรวมโดย The Yomiuri Shimbun มีผู้ติดเชื้อไวรัสจำนวน 2,518 คนในประเทศไทยเมื่อเวลา 22.00 น. ในวันเสาร์และอีก 35 คนเสียชีวิต เมื่อขึ้นรถไฟฟ้า ผู้โดยสารจะต้องสวมหน้ากาก และหากพวกเขาไม่สวม  จะถูกห้ามไม่ให้เข้า และถูกบังคับให้ซื้อหน้ากากมีสวมใส่ทันที

หลังจากมาตรการเหล่านี้ ล่าสุด ในประเทศไทยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงที่วันละราว 50 ราย การลดลงนี้อาจเป็นผลมาจากมาตรการที่เข้มงวดเหล่านี้

“รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นในญี่ปุ่นจะต้องขยายมาตรการ ปิดและระงับการทำงาน และป้องกันการติดต่อระหว่างผู้คนเพื่อหยุดยั้งไวรัสไม่ให้แพร่กระจาย” ชายญี่ปุ่นกล่าว.