กรณีการตั้ง "กองทุนเสริมสภาพคล่องฯ" หรือ BSF ด้วยพระราชกำหนดให้แบงก์ชาติเข้า "อุ้ม" ตราสารหนี้เอกชนในวงเงิน 4 แสนล้านบาท นับเป็น "ปรากฏการณ์" ในยามวิกฤติที่น่าสนใจและควรแก่การวิเคราะห์และรับฟังรอบด้าน
ยิ่งเมื่อมีอดีตประธานคณะกรรมการและผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย นำโดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ส่ง "จดหมายเปิดผนึก" ถึงนายกฯ ก็ยิ่งทำให้น่าติดตาม
เห็นรายชื่อผู้ที่ร่วมลงนามจดหมายนี้ก็ทำให้เห็นว่าเป็นประเด็นทักท้วงที่ต้องฟัง
เพราะมีทั้ง ดร.โอฬาร ไชยประวัติ, ดร.ศิริ การเจริญดี, คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล และคุณเสรี จินตนเสรี และท่านอื่นๆ
ส่วนผู้ที่ออกมาสนับสนุน พ.ร.ก.ฉบับนี้ นอกจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน คือ ดร.วิรไท สันติประภพ ยังมีอดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล, คุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล และคุณธาริษา วัฒนเกส
ซึ่งเหมือน "หัวกะทิ" ของประเทศมาตั้งวงแลกเปลี่ยนกันในยามวิกฤติกันเลยทีเดียว
ถือได้ว่าการแลกเปลี่ยนความคิดความอ่านกันในเรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์ที่น่าติดตามมาก
เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ทุกคนก็ต้องการจะปกปักรักษาบทบาทแห่งความเป็นมืออาชีพของธนาคารกลางของชาติ
เสียดายแต่เพียงว่า ท่านเหล่านี้ไม่สามารถนัดหมายมาจิบกาแฟถกกันให้ประชาชนได้ยินอย่างกว้างขวาง เหตุก็เพราะเจ้าไวรัสวายร้ายที่เป็นต้นเหตุของการถกแถลงนี่แหละ
หัวใจของประเด็นถกแถลงไม่ได้อยู่ที่ว่า ในภาวะวิกฤติอย่างนี้ควรที่ทางการจะใช้ "มาตรการพิเศษ" เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบการเงินและการคลังต้องถูกกระทบ จนสั่นสะเทือนและสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติหรือไม่
ประเด็นของ "จดหมายเปิดผนึก" อยู่ตรงที่แบงก์ชาติควรจะมีบทบาทตรงนี้หรือไม่
ทำไมไม่มอบหมายให้ธนาคารของรัฐสวมบทบาทตรงนี้ เพื่อไม่ให้ธนาคารกลางของประเทศต้องตกอยู่ในฐานะสุ่มเสี่ยงถูกกล่าวหาว่า "เอื้อต่อเอกชนบางรายอย่างไม่โปร่งใส"
หรือหากมีปัญหา แบงก์ชาติอาจต้องฟ้องร้องบริษัทเอกชน ทำให้เสียภาพลักษ์และความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางได้
หัวใจของจดหมายเปิดผนึกอยู่ตรงประโยคที่บอกว่า
"พวกข้าพเจ้าเห็นว่า...ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ควรกระทำโดยตรง เพราะสามารถกระทำผ่านสถาบันการเงินของรัฐบาล เช่น ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ หรือธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อรักษาหลักการที่ธนาคารกลางควรเป็นเฉพาะนายธนาคารของรัฐบาล และเป็นแหล่งเงินสุดท้ายของธนาคารพาณิชย์ (Lender of the last resort) และอาจจะขยายไปถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐบาลด้วยเท่านั้น..."
ดร.วิรไทในฐานะผู้ว่าการแบงก์ชาติคนปัจจุบัน คงจะตระหนักตั้งแต่ต้นว่าการออกกฎหมายพิเศษในเรื่องนี้คงเกิดคำถามไม่น้อย เพราะน่าจะเป็นครั้งแรกที่ธนาคารกลางของไทยเข้ามาสวมบทบาท "อัศวินม้าขาว" มาช่วยเอกชนเช่นนี้
คุณวิรไทอธิบายว่า ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนมีความสำคัญมากต่อระบบเศรษฐกิจไทย มีขนาดกว่า 3.6 ล้านล้านบาท หรือกว่า 20% ของ GDP ของประเทศ
ผู้ว่าแบงก์ชาติบอกว่า Covid-19 ทำให้กลไกตลาดการเงินโดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ขาดสภาพคล่องและทำงานไม่ปกติ
"กองทุนเสริมสภาพคล่องเพื่อลดความเสี่ยงของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน" หรือ Corporate Bond Stabilization Fund (BSF) จะช่วยเสริมสภาพคล่องช่วงสั้นๆ ให้ผู้ออกตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดีและสามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ทำหน้าที่ได้ปกติ ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเป็นลูกโซ่ จนเกิดผลกระทบในวงกว้างต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจโดยรวม..."
คุณจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายสื่อสารและความสัมพันธ์องค์กรของแบงก์ไทยอธิบายเพิ่มเติมว่า ที่ธนาคารกลางต้องยอมรับบทบาทเช่นนี้ในภาวะอย่างนี้ก็เป็นเพราะ...
"การรอให้เกิดปัญหาขึ้นก่อนแล้วเข้าไปแก้ไขย่อมมีต้นทุนระบบเศรษฐกิจสูงกว่าการเข้าไปดูแลก่อนที่จะเกิดปัญหาลุกลาม..."
เธอย้ำว่าการตัดสินใจที่ต้องการความรวดเร็วเร่งด่วนอาจทำให้ไม่สามารถพึ่งพากลไกการทำงานของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียวซึ่งมีพันธกิจอื่นอยู่แล้ว
และอธิบายว่าผู้ออกตราสารหนี้ภาคเอกชนก็มักจะไม่ใช่ลูกค้าที่ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐมีความคุ้นเคยอยู่เดิม
แบงก์ชาติบอกว่านี่ไม่ใช่การแก้กฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เป็นการออก พ.ร.ก. มีอายุ 5 ปี
อีกทั้งไม่ได้เปลี่ยนหลักการที่วางไว้ใน พ.ร.บ.เกี่ยวกับ ธปท. ปี 2551 แต่อย่างใด
กระนั้นก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นบทบาทของธนาคารกลางที่ "ไม่คุ้นเคย"
ครั้งนี้ต้องถือเป็น "กรณีพิเศษ"...เรื่องที่ "ไม่ควรทำ" ในยามปกติก็กลายเป็นเรื่อง "จำเป็นต้องทำ" ในภาวะวิกฤติที่ไม่มีอยู่ในแผนของรัฐบาลไหนในโลกทั้งสิ้น
ผมได้ยินคนที่ธนาคารกลางทั้งในไทยและต่างประเทศอ้างประโยคทองที่ว่า
Extraordinary times demand extraordinary measures!
ภาวะไม่ปกติต้องการมาตรการที่ไม่ปกติเช่นกัน!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |