คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธนั่นแหละว่า...ถือเป็น ผลงาน ของรัฐบาล ของบุคลากรทางการแพทย์ และอาจรวมถึงประเทศไทยทั้งประเทศ ควบคู่ไปด้วย ที่ได้ทำให้จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในบ้านเรา เริ่มออกอาการสาละวันเตี้ยลงและเตี้ยลง ไปตามลำดับ แม้ว่าจะต้องยกการ์ด สวมหมวกกันน็อก ปิดหน้า ปิดตา ไปอีกซักระยะ...
-----------------------------------------------
ยิ่งถ้าหากเอาไปเทียบกับบ้านอื่น เมืองอื่น ด้วยแล้ว...อาจหนีไม่พ้นต้องสารภาพว่า ยังโชคดีที่เกิดมาเป็น คนไทย คืออย่างน้อยก็ยังไม่ถึงกับขุดหลุม ทั้งกว้าง ทั้งยาว ระดับน้องๆ สนามฟุตบอล เพื่อฝังศพไม่มีญาติที่เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง เพราะเชื้อ COVID-19 จนเป็นอะไรที่น่าอเนจอนาถ น่าเวทนา เป็นอย่างยิ่ง หรือไม่ถึงกับต้องเลือกว่าจะให้ใครอยู่ ใครตาย เพราะตัวเลขคนเจ็บ คนป่วย มันล้นเกินไปกว่าประสิทธิภาพ เครื่องมือทางการแพทย์ หรือระบบสาธารณสุขจะรองรับเอาไว้ได้ ด้วยลักษณะอาการของ เส้นกราฟ ที่ไม่พุ่งโด่เด่ เป็นรูปตัววี แต่ออกจะคล้ายๆ รูปตัวแอล ซะมากกว่า ระบบสาธารณสุขไทยที่แข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าประเทศใดๆ ในโลกนี้ เลยสามารถรองรับมหันตภัยจากเชื้อไวรัสตัวนี้ ได้อย่างไม่ถึงกับติดๆ ขัดๆ จนเกินไป...
------------------------------------------------
อีกทั้งบรรดา ทวยไทย ทั้งหลาย...ที่ถนัดในการ สวมหน้ากาก มาตั้งแต่ฝุ่นพิษ PM.2.5 จนคุ้นชินซะแล้ว ก็ดูจะไม่ได้ถึงกับดื้อดึง ดื้อด้าน เหมือนอย่างพวกฝรั่งมังค่า บางราย บางสังคม ที่เลือกจะใช้ เสรีภาพในการตาย มากกว่าคิดจะรักษา เสรีภาพในการมีชีวิตอยู่ เลยไม่คิดควบคุม บังคับ หรือไม่พร้อมข่มใจตัวเองให้มากๆ เข้าไว้ การได้มีเสรีภาพไปพร้อมๆ กับการได้ตายไปด้วย เลยกลายเป็น ข้อเท็จจริงทางสังคม ชนิดหนึ่ง ที่ทำให้ต้องลา-ละ-สละไปจากโลกใบนี้ นับเป็นพันๆ หมื่นๆ อีกทั้งถ้าหากทวยไทยรายไหน ยังออกไปทางดื้อๆ ด้านๆ ก็ยังถูกบรรดาทวยไทยรายอื่นๆ รุมถล่มซะจนแทบไม่เหลือที่ยืน ไม่เหลือพื้นที่ทางสังคม ต่างต้องออกมาสารภาพถึง ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กันไปเป็นรายๆ...
------------------------------------------------
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...เลยนำมาซึ่งตัวเลข สถิติ นำมาซึ่งเส้นกราฟที่ไปกันแบบเรียบๆ เรื่อยๆ ไม่ถึงกับผงกหน้า ผงกหลังมากมายจนเกินไป ส่วนรัฐบาลนั้น...แม้ว่าบางช่วง บางระยะ อาจมึนซ์ซ์ซ์ๆ งงง์ง์ง์ๆ เป๋ไป-เป๋มา อยู่บ้างในบางขณะ แต่ก็ยังพอมีลูกฮึด ลูกอึด ลูกทน พอประมาณ สามารถเอาหลังพิงเชือก แล้วเด้งเชือก ออกมาสาดหมัดใส่ COVID-19 ให้ต้องถอยไปห่างๆ ไม่สามารถฟุ้งกระจายสารคัดหลั่งกันได้ถนัดๆ โดยแม้ว่าลีลา ช่วงชก หรือ รูปมวย อาจไม่ถูกใจแฟนมวยมุมแดง มุมน้ำเงิน ไปซะทั้งหมด คือไม่เตะซ้าย ต่อยซ้าย ตาม ใบสั่ง ของแฟนมวยไปในทุกเรื่อง ทุกราว แต่การอาศัยกรรมวิธีแบบกลางๆ แบบไม่ถึงกับสุดโต่งไปในด้านใด ด้านหนึ่ง ก็ต้องถือว่ามีเหตุผลรองรับเอาไว้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์...
------------------------------------------------
แต่อย่างที่ว่าเอาไว้แล้วนั่นแหละ...ว่าตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ตาย จากเชื้อ COVID-19 คราวนี้ คงต้องถือว่าเป็นแค่ ยกแรก เท่านั้น ถ้าว่ากันตามกฎ กติกา ของ มวยสมัครเล่น ยังมีอีกตั้ง 2 ยก ที่จะต้องหาทางฝ่าฟันกันไปให้จงได้ หรือถ้าเป็นกฎ กติกาของ มวยไทยอาชีพ ด้วยแล้ว ยังเหลืออีก 4 ยก เป็นอย่างน้อย ด้วยเหตุเพราะ ผลข้างเคียง หรือ ผลกระทบ ที่กำลังตามมาอันเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนา ไวรัส ตัวนี้ มันยังมีอีกเยอะแยะ มากมาย ชนิดจาระไนแทบไม่หวาด-ไม่ไหว ไม่ว่าในแง่การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงในแง่ การทหาร เอาเลยก็เป็นได้ ดังนั้น...แม้ว่าอาจผ่านยกแรกไปได้ แบบไม่ถึงกับน็อก หรือไม่ถึงกับหลับกลางอากาศไปซะก่อน แต่ก็ยังคงต้องฟิตร่างกาย ต้องกระตุ้นตัวเอง ต้องรวบรวมสติสัมปชัญญะเพื่อหาทาง แก้ทางมวย ในยกสอง ยกสาม หรือไปจนกว่าจะหมดยกห้า โน่นเลย...
-------------------------------------------------
และก็นั่นแหละ...มันคงไม่ใช่เรื่องของ รัฐบาล ล้วนๆ อีกเช่นเคย คงต้องอาศัยบุคลากรในด้านต่างๆ รวมทั้งต้องอาศัยบรรดา ทวยไทย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย ว่าจะมีลูกอึด ลูกทน มีความไม่ดื้อๆ ด้านๆ มีสิ่งดีๆ งามๆ ที่จะช่วยให้ ความเป็นไทย เป็นอะไรที่สูงส่งยิ่งขึ้นไปอีก มากหรือน้อยขนาดไหน คือนอกจาก ความมีน้ำใจ-ไมตรี แล้ว ยังคงต้องประกอบด้วยความมีระเบียบ วินัย ไปจนถึงความมีขันติธรรม มโนธรรม และคุณธรรมในประเภทต่างๆ ควบคู่ไปด้วย อย่างชนิดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณธรรมที่ถูกแปรสภาพและถูกนำไปเรียกขานกันในนาม ความพอเพียง นั่นเอง...
--------------------------------------------------
อันนี้นี่แหละ...ที่ต้องเรียกว่าสำมะคัญเอามากๆ โดยเฉพาะสำหรับโลกยุคใหม่ หรือ โลกหลังยุค COVID-19 ที่อะไรต่อมิอะไรมันคงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มากบ้าง-น้อยบ้าง ไปตามสภาพ แต่ยังไงๆ...มันคงไม่ใช่โลกใบเดิม หรือโลกที่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว โลกที่สิ่งที่เรียกว่า ห่วงโซ่แห่งอุปทาน มันขาดสะบั้นจนต่อแทบไม่ติด การไหลมา-ไหลไปของ ทุน เพื่อไปแสวงหาแรงงานราคาถูก อาจกลายเป็นสิ่งที่หมดสมัย ไปเพราะความกลัว หรือความรู้สึกไม่มั่นคงของแต่ละประเทศ โลกที่การเดินทางไปมาหาสู่กันและกัน คือกุญแจความสำเร็จและความรุ่งโรจน์ของชาติใด ชาติหนึ่ง อาจกลายเป็นโลกที่ Work from Home จนไม่มีใครคิดเทียวมา-เทียวไปอีกต่อไป โลกที่ต่างฝ่ายต่างหันมา Independence โดยไม่คิด Interdependence เหมือนอย่างเคย ฯลฯ...
--------------------------------------------------
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ...คือยกสอง ยกสาม หรือแม้แต่ยกสี่ ยกห้า ที่จะตามมาอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ และการประคับประคองตัวเองให้รอดพ้นไปในแต่ละยก คงไม่ใช่แค่เรื่องของ รัฐบาล หรือของนายกฯ บิ๊กตู่ เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของบุคลากรทุกสาขาอาชีพ รวมทั้งเป็นเรื่องของบรรดา ทวยไทย ทั้งหลาย ที่ไทยควรคำนึงเอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ...
-------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Peter F. Drucker (อีกครั้ง)...“The best way to predict the future is to create it. - วิธีคาดคะเนอนาคตที่ดีที่สุด คือการสร้างสรรค์มันขึ้นมา...”
-------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |