หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ Guardian ของอังกฤษเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมาเป็นการตอกย้ำปรากฏการณ์ที่เรียกว่า
ตายกันเหมือนใบไม้ร่วง!
นี่ไม่ใช่สงครามโลกครั้งที่ 1 หรือครั้งที่ 2 (ปี 1914-1918 และ 1939-1945)
ไม่ใช่ปฏิบัติการก่อการร้ายเหมือนคราว 9/11 (ปี 2001)
และไม่ใช่วิกฤติเศรษฐกิจระดับโลกเหมือน The Great Depression (ปี 1929)
ไม่ใช่วิกฤติเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” (1997)
ไม่ใช่ SARS (2003)
ไม่ใช่วิกฤติการเงินแฮมเบอร์เกอร์ (2008)
ไม่ใช่โรคระบาด Ebola (2014)
แต่มันคือ Covid-19 ที่กำลังอาละวาดไปทั่วโลก โดยมีคนติดเชื้อแล้วกว่า 1.6 ล้านคน และเสียชีวิตแล้วเกิน 100,000 คน
และยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบในเร็ววัน
วันเสาร์ที่ผ่านมา สหรัฐสร้างสถิติโลกของจำนวนคนตายต่อวันเกิน 2,000 คน
โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกไวรัสตัวนี้ว่า “ศัตรูที่มองไม่เห็น” และทั่วโลกต้องปั๊มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อมาทำสงครามที่กำลังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ, สังคม, ความมั่นคงและวัฒนธรรมในระดับความรุนแรงที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์
ผมเห็นหน้าแรกของหนังสือพิมพ์อังกฤษฉบับนี้แล้วก็ทำให้ย้อนคิดถึงเหตุการณ์ 9/11 ที่มีสื่อสหรัฐเอารูปของคนเสียชีวิตกว่า 3,000 คน มาตีพิมพ์หน้าแรกเพื่อสะท้อนถึงโศกนาฏกรรมของผู้คน
วันนี้จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกทะลุแสนแล้ว และกำลังเพิ่มขึ้นทุกวัน
เขาและเธอผู้เป็นเหยื่อของโรคระบาดครั้งนี้มาจากทุกสาขาอาชีพ, ทุกวัย, ทุกชาติ ทุกศาสนา
แม้แต่นายกรัฐมนตรีอังกฤษอย่าง บอริส ยอห์นสัน ยังถูกหามเข้าโรงพยาบาล ต้องรักษาตัวอยู่ในห้องฉุกเฉิน หรือ ICU อยู่หลายวัน และแม้จะพ้นอันตรายแล้วก็ต้องหัดเดินช้าๆ ใหม่
นายกฯ สิงคโปร์ หลี่ เสียนหลง ออกมายอมรับในคลิปวิดีโอเพื่อสื่อสารกับประชาชนว่าภัยคุกคามครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก
“ต้องยอมรับว่าเรายังไม่รู้จักไวรัสตัวนี้พอที่จะเอาชนะมันอย่างราบคาบได้” ผู้นำเกาะแห่งนี้สารภาพกับสาธารณชนอย่างตรงไปตรงมา
เศรษฐกิจโลกถดถอยอย่างแรง ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศยอมรับว่า ความถดถอยของเศรษฐกิจโลกครั้งนี้จะแย่ที่สุดตั้งแต่ The Great Depression ของสหรัฐเมื่อปี 1929
นั่นเท่ากับว่าเป็นความเลวร้ายที่สุดใน 91 ปี
ผู้นำเวียดนามเรียกการสู้กับโควิด-19 ว่าเป็น “สงครามในยามสงบ” (Battle Mission in Peace Time)
แม้เวียดนามซึ่งผ่านศึกสงครามในประวัติศาสตร์อย่างโชกโชนมายาวนานก็ยังต้องระดมพลเพื่อทำสงครามครั้งใหญ่ด้วยสรรพกำลังมากที่สุดในประวัติศาสตร์
และแม่ทัพในการรบครั้งนี้ไม่ใช่นายพล, ไม่ใช่รถถัง, ไม่ใช่หน่วยจรยุทธ์หรือการทำสงครามกองโจรอย่างในอดีต
หากแต่เป็นการจัดทัพที่มีหมอและบุคลากรทางการแพทย์อยู่แถวหน้า และประชาชนทุกคนเป็นหน่วยรบที่ไม่มีข้อยกเว้น
คำบรรยายภาพของหน้าแรกของ The Guardian พาดหัวว่า “ชีวิตที่ถูกตัดขาดสะบั้นอย่างฉับพลัน”
จำนวนผู้เสียชีวิตของอังกฤษต่อวันใกล้ 1,000 ...สูงกว่าของอิตาลีและสเปน
มันเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะหนักหน่วงรุนแรงเพียงนี้
“แม้เราจะได้รับทราบว่าจำนวนคนป่วยและเสียชีวิตจะเริ่มชะลอตัวลง แต่ความตายเป็นของจริงแท้ คนตายเป็นมนุษย์ที่มีคนรัก คนเป็นห่วงเป็นใย...เป็นชีวิตที่ถูกตัดขาดสะบั้นลงก่อนเวลาอันควร...ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ, คนหนุ่มคนสาว, คนเปราะบางหรือผู้มีความแข็งแกร่ง...
หรือแม้แต่หมอและพยาบาลที่เอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยงภัยเพื่อรักษาชีวิตของคนอื่น โดยที่บ่อยครั้งขาดแคลนเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อปกป้องสุขภาพและชีวิตของตัวเอง...”
อดีตนักรบในสมรภูมิสงครามจริง ทหารผ่านศึกจำนวนไม่น้อย...แม้รอดจากการสู้รบที่หนักหน่วงในอดีตก็มาพ่ายแพ้ต่อไวรัสร้ายกาจตัวนี้
ไม่เว้นแม้นักการเมือง, นักวิชาการ, คนขับรถประจำทางและนักแสดงขบขัน
มันไม่ใช่ความตายธรรมดา...มันเป็นการลาจากที่โศกสลดเกินกว่าจะทำใจได้..เพราะคนที่กำลังจะหมดลมหายใจไม่อาจจะกล่าวอำลากับญาติสนิทและคนรัก
ด้วยความกลัวจะติดเชื้อที่แพร่มาถึงตนและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลัง
ที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเป็นเหยื่อรายต่อไปเมื่อใด
และผู้อาลัยอาวรณ์ที่อยู่ข้างหลังก็ไม่รู้ว่าจะต้องปรับตัวและบริหารความรู้สึกของตัวเองอย่างไร
มันเป็นเรื่องจริงที่โหดร้าย ตัวเลขแห่งความเศร้าสลดที่น่าสยดสยอง...
พวกเขาและเธอที่ถูกกระชากให้จากไป เป็นทั้งพ่อ, แม่, ลูก, หลาน, คนรัก และเพื่อน
ชีวิตมากมายหลากหลายที่ร่วงหล่นลงข้างทาง...เพราะไวรัสที่มนุษย์ยังไม่รู้จัก ไม่เข้าใจและไม่รู้ว่าจะเอาชนะได้เมื่อไหร่
หรือต้องสูญเสียอีกมากมายเพียงใด.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |