ผ่านมา 1 สัปดาห์เต็มกับการประกาศ "เคอร์ฟิว" ห้ามประชาชนออกจากบ้านในห้วงเวลา 22.00-04.00 น. รวมเวลา 6 ชั่วโมง ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งถึงขณะนี้ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยังยืนยันไม่ขยายเวลาเคอร์ฟิว ขอดำเนินการตามมาตรการที่ได้ประกาศไปก่อน และมีข้อยกเว้นต่างๆ ตามพระราชกำหนด
ขณะเดียวกันในทุกๆ สัปดาห์ "บิ๊กตู่" จะนั่งหัวโต๊ะถกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ซึ่งในการประชุมสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีข้อกำชับให้หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการแต่ละด้านประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงนำนโยบายไปช่วยปฏิบัติ แต่ไม่ได้ลดทอนอำนาจรัฐมนตรี เพียงแต่ต้องการให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน และควบคุมภาพรวมการทำงานอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้สั่งการให้ประชาสัมพันธ์ชี้แจง สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนไม่ให้เกิดข้อสงสัย อย่างกรณีหน้ากากอนามัยแต่ละชนิดผลิตได้มากแค่ไหน ต้องการใช้จำนวนเท่าใด หน้ากากอนามัย N95 หน้ากากผ้า ตลอดจนให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหลักในการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับความพร้อมเรื่องยารักษาโรคว่ามีเพียงพอ
พร้อมกำชับเรื่องการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐ อย่าให้สิ่งที่มีการสื่อสารถูกตีความผิดพลาด และถูกนำออกไปเป็นประเด็นทางการเมือง โดยให้เจ้าหน้าที่ทุกคน ทุกหน่วยงานมีความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย และให้โฆษกกระทรวงต่างๆ ชี้แจงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตนเอง ควบคู่ไปกับการแถลงสถานการณ์ของโฆษก ศบค.ในแต่ละวันด้วย
และอีกหนึ่งในข้อห่วงใยของ พล.อ.ประยุทธ์ คือมาตรการเยียวยาช่วยเหลือประชาชน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ต้องการให้ทุกคนที่ได้รับผลกระทบได้รับการดูแล โดยทุกหน่วยงานต้องทำงานหนักให้ได้ผลดีที่สุด ต้องให้คนที่เดือดร้อนจริงๆ ถ้าตรวจสอบแล้วไม่ถูกต้องจะต้องส่งเงินคืนและถูกลงโทษ อีกทั้งต้องชี้แจงให้ประชาชนทราบว่าเงินก้อนนี้มีจำกัด จึงต้องร่วมมือกัน
ทั้งนี้ ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษหารือมาตรการช่วยเหลือประชาชนในเบื้องต้น ก่อนนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ใหญ่เมื่อวันอังคารที่ 7 เม.ย. ซึ่งรัฐบาลได้เคาะมาตรการเยียวยาวประชาชนในหลายๆ ด้าน เพื่อให้ทันการณ์ในห้วงเวลาเคอร์ฟิวสัปดาห์แรก ที่ประชาชนทุกคนกำลังเดือดร้อน เพราะต้องหยุดการทำงานและขาดรายได้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
โดยมาตรการเร่งด่วนที่ทยอยถึงมือประชาชนแล้ว ได้แก่ ฟรีค่าไฟ 3 เดือน ตั้งแต่เดือน เม.ย.-มิ.ย. สำหรับบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ ใช้ฟรีสูงสุดได้ถึง 90 หน่วยต่อเดือน และขยายระยะเวลาการชำระค่าไฟฟ้าให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือนของแต่ละรอบบิล สำหรับใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจำเดือน เม.ย.-มิ.ย.63 โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยขยายระยะเวลาการชำระค่าไฟฟ้าให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโดยไม่มีเบี้ยปรับ
ขณะที่ล่าสุดกระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ยังช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติมนอกเหนือจากมาตรการข้างต้น คือ 1.มาตรการลดค่าไฟฟ้าร้อยละ 3 สำหรับกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท ตั้งแต่เดือน เม.ย.-มิ.ย. รวม 3 เดือน คิดเป็นจำนวนผู้ใช้ไฟที่ได้รับการช่วยเหลือกว่า 3.9 ล้านราย เป็นจำนวนเงินกว่า 1,600 ล้านบาท 2.มาตรการขยายระยะเวลาการชำระค่าไฟฟ้าได้ 6 เดือน ในกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทโรงแรมและกิจการให้เช่าอาศัย โดยครอบคลุมค่าไฟฟ้าเดือน เม.ย.-พ.ค. คิดเป็นจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับการช่วยเหลือกว่า 3,400 ราย เป็นจำนวนเงินกว่า 1,400 ล้านบาท
3.มาตรการคืนเงินหลักประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับกลุ่มบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก โดยเปิดให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ https://measy.mea.or.th เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.63 ที่ผ่านมา คิดเป็นจำนวนผู้ใช้ไฟที่ได้รับการช่วยเหลือกว่า 3.8 ล้านราย เป็นจำนวนเงินกว่า 13,000 ล้านบาท และ 4.มาตรการผ่อนผันการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าอัตราขั้นต่ำในกลุ่มกิจการขนาดกลาง-ใหญ่ โรงแรม โดยครอบคลุมค่าไฟฟ้าตั้งแต่เดือน เม.ย.-มิ.ย.63 คิดเป็นจำนวนผู้ใช้ไฟที่ได้รับการช่วยเหลือกว่า 29,000 ราย เป็นจำนวนเงินกว่า 167 ล้านบาท
นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 801 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการหน้ากากอนามัย โดยกระทรวงพาณิชย์จัดซื้อโดยตรงจากโรงงานผู้ผลิตตามกำลังผลิตที่มีอย่างเหมาะสม และการกระจายหน้ากากอนามัยให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นผู้จัดส่งหน้ากากอนามัยจากโรงงานผู้ผลิตไปให้กระทรวงมหาดไทย เพื่อกระจายให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ตามความเหมาะสมในช่วง เม.ย.-ต.ค.63 ซึ่งขณะนี้กำลังการผลิตหน้ากากอนามัย 2.3 ล้านชิ้นต่อวัน
ขณะเดียวกันมาตรการจ่ายเงินเยียวยาให้ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 คนละ 5,000 บาท ตอนนี้ทยอยถึงมือประชาชนแล้ว ท่ามกลางเสียงสะท้อนทั้งด้านบวกและด้านลบ รวมถึงมีข้อเสนอแนะจากฝ่ายการเมืองต่างๆ โดยเงินก้อนนี้ประชาชนจะได้รับคนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือน เม.ย.-มิ.ย.63 รวม 15,000 บาท และล่าสุด ครม.เล็งขยายการจ่ายเงินเยียวยาเพิ่มเติมคนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน คือเดือน เม.ย.-ก.ย.63 รวมเป็นเงิน 30,000 บาท แต่ให้แค่ 9 ล้านคนเท่านั้น โดยเป็นมาตรการเพื่อดูแลกลุ่มอาชีพอิสระที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com
ซึ่งเงินในส่วนนี้รัฐบาลได้ทยอยโอนให้ประชาชนที่ผ่านเกณฑ์แล้ว ระหว่างวันที่ 8-10 เม.ย. และในสัปดาห์หน้าจะทยอยโอนให้ผู้ที่ผ่านเกณฑ์ทุกวัน ส่วนผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์และกลุ่มที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมจะมีการส่งข้อความแจ้งในวันที่ 11-12 เม.ย. ทั้งนี้ ในกลุ่มที่ได้รับเงินแล้ว กระทรวงการคลังจะมีระบบตรวจทานซ้ำว่าอยู่ในเกณฑ์ได้รับเงินช่วยเหลือถูกต้องหรือไม่ หากไม่ถูกต้องจะถูกเรียกคืนเงินภายใน 90 วัน
ทั้งนี้ นอกจากมาตรการข้างต้นที่ทยอยถึงมือประชาชนเพื่อต่อชีวิตแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ยังลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เพื่อทำหน้าที่ในการเข้าร่วมประชุมเพื่อให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ การป้องกัน และแก้ไขปัญหาของภาคธุรกิจเอกชนที่ได้รับผลกระทบด้วย
และในวันที่ 14 เม.ย.นี้ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด-19 จะได้ร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนและประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ สมัยพิเศษ ผ่านทางจอภาพด้วยระบบเทเลคอนเฟอเรนซ์ เพื่อหารือร่วมกันถึงวิธีการรับมือการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โดยเวลา 08.00 น. เป็นการประชุมสุดยอดอาเซียน และเวลา 14.00 น. ประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม
ซึ่งคงต้องดูว่าหลังมาตรการต่างๆ ถึงมือประชาชนไปบ้างแล้ว ผลตอบรับต่อเนื่องจะเป็นเช่นไร และในการประชุมร่วมกับนานาประเทศ ไทยจะได้ไอเดียใดมาผลักดันเป็นมาตรการลดการแพร่ระบาดโควิด-19 และจะมีมาตรการในการเยียวยาประชาชนต่อเนื่องจนพ้นวิกฤตินี้ได้อย่างไร รวมถึงเตรียมการฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจของประเทศหลังไวรัสร้ายนี้หมดไปอย่างไร.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |