7 เม.ย.63-ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยสถิติผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 1 ระหว่างวันที่ 3 - 6 เม.ย. 2563 ว่า เรื่องนี้ นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด ได้กำชับให้สำนักงานอัยการทั่วประเทศนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ โดยให้รายงานภาพรวมของการดำเนินคดีผ่านระบบสารบบคดีอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานอัยการสูงสุด พร้อมแจ้งให้งานโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวบรวมและประมวลผลภาพรวมทั้งประเทศในการดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ดังกล่าว ถึงวันที่ 6 เม.ย. ซึ่งเป็นวันที่ศาลแขวงทั่วประเทศเปิดทำการในช่วงวันหยุด โดยมีนายรัชต์เทพ ดีประหลาด ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารกิจการสำนักงานอัยการสูงสุด และนางณฐนน แก้วกระจ่าง ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ดำเนินการรวบรวม วิเคราะห์แล้วปรากฏผล ดังนี้
1.จำนวนคดีและจำนวนผู้ต้องหาหรือจำเลยที่กระทำความผิดและถูกดำเนินคดี สำหรับภาพรวมทั้งประเทศมีการฝ่าฝืนทั้งสิ้น จำนวน 438 คดี จำนวนจำเลยที่ถูกดำเนินคดี 623 ราย
2.ทุกคดีพนักงานอัยการได้มีคำขอให้ศาลลงโทษสถานหนัก ซึ่งศาลได้ใช้ดุลยพินิจลงโทษจำเลยตามคำขอของพนักงานอัยการ เช่น คดีที่พนักงานอัยการฟ้องต่อศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา ลงโทษผู้จำคุก 2 – 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ (ข้อหามั่วสุม) และคดีที่ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานี ที่ให้จำคุก 15 วัน เปลี่ยนโทษเป็นกักขังแทน 15 วัน เป็นต้น
3.ประเภทคดีที่มีการฝ่าฝืนมากที่สุด ได้แก่ การออกนอกเคหสถาน โดยช่วงอายุที่กระทำความผิดมากที่สุด เป็นช่วงอายุระหว่าง 20-35 ปี รองลงมาคือช่วงอายุระหว่าง 35-55 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่กระทรวงสาธารณสุขให้ระมัดระวังในการแพร่เชื้อ
ทั้งนี้ จังหวัดที่มีสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สูง เช่น กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดชลบุรี และจังหวัดเชียงใหม่ ยังเป็นจังหวัดที่มีจำนวนสถิติคดีและจำนวนผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก. มีจำนวนสูงด้วยเช่นกัน ซึ่งอัยการสูงสุดยังได้กำชับใช้พนักงานอัยการทั่วประเทศได้บังคับใช้กฎหมายอย่างรวดเร็วและเฉียบขาดต่อไป ตนจึงอยากเตือนประชาชนให้เคารพกฎหมาย เพราะเจ้าพนักงานจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเด็ดขาดในทุกข้อหาความผิด และจะขอให้ศาลลงโทษสถานหนักในทุกข้อหาเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด ได้มีหนังสือที่ อส 0001/ว140 ลงวันที่ 31 มี.ค. 2563 แจ้งให้อัยการทั่วประเทศดำเนินคดีเฉียบขาดกับผู้ทำการกักตุนสินค้าอุปโภค บริโภค และจำหน่ายสินค้าเกินราคาควบคุม เช่น หน้ากากอนามัย ไข่ไก่ หรือสินค้าจำเป็นในครัวเรือน เป็นต้น การฉ้อโกงหรือหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่างๆ รวมทั้ง การส่งข้อความอันเป็นเท็จทางสื่อออนไลน์ อัยการสูงสุดจึงกำหนดแนวทางปฏิบัติในคดีที่มีลักษณะการกระทำความผิดข้างต้น เพื่อให้พนักงานอัยการใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการดำเนินคดี ดังนี้
1.ให้ดำเนินคดีโดยปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และหนังสือเวียนของสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เกี่ยวข้อง
2. ให้ถือเป็นคดีที่มีความจำเป็น เร่งด่วน ที่ต้องดำเนินคดีด้วยความรวดเร็ว
3. ให้พนักงานอัยการใช้ดุลพินิจสั่งคดีและบรรยายฟ้อง ขอให้ศาลลงโทษในสถานหนัก และไม่รอการลงโทษ
4. ของกลางที่เป็นทรัพย์ที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ขอให้ศาลมีคำสั่งริบตามกฎหมาย
5. ผู้กระทำความผิดที่มีประวัติเกี่ยวกับการกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันมาก่อน ให้บรรยายฟ้องให้ศาลทราบข้อเท็จจริง ขอให้ศาลลงโทษสถานหนัก หรือเพิ่มโทษหรือนับโทษต่อกัน หรือใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัย
6.ให้อธิบดีอัยการกำกับดูแลการดำเนินคดีของพนักงานอัยการในบังคับบัญชาให้เป็นไปตามแนวทาง ปฏิบัติตามหนังสือนี้โดยหนังสือดังกล่าว ได้แจ้งสั่งการให้อัยการทั่วประเทศถือปฏิบัติทราบแล้ว และถือปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค. 2563 เป็นต้นไป.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |