6 เมษายน 2563 นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 8 เม.ย.2563 จะเป็นวันแรกที่กระทรวงการคลัง โดยธนาคารกรุงไทย จะเร่งทยอยจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ได้ลงทะเบียนไว้ผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com โดยกระทรวงการคลัง จะทยอยจ่ายทุกวัน ตามข้อมูลผู้ลงทะเบียนที่เข้าตามเงื่อนไขถูกต้อง คือ 1.ต้องเป็นแรงงาน ลูกจ้าง หรือประกอบอาชีพอิสระ 2.ต้องไม่อยู่ในระบบประกันสังคม และ 3.สามารถยืนยันได้ว่ารับผลกระทบจากโควิดอย่างไร จะต้องเป็นผลกระทบต่อรายได้ที่เป็นตัวเงิน

ทั้งนี้ คาดว่าการโอนเงินกลุ่มแรกจะอยู่ที่หลักแสนคน ซึ่งมาจากหลากหลายอาชีพ ไม่ใช่มีเฉพาะแค่อาชีพคนขายลอตเตอรี่ แท็กซี่ มอเตอรไซค์รับจ้าง และมัคคุเทศก์จะได้รับเงินก่อน เพราะกลุ่มนี้เป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างเท่านั้น โดยการจ่ายเงินจะยึดตามผลการตรวจสอบ ใครมีข้อมูลที่ชัดเจนและเดือดร้อนจริงก็มีโอกาสผ่านตรวจสอบไวและได้รับการช่วยเหลือไวและคาดว่าวันที่ 9-10 เม.ย. จะตรวจสอบเสร็จและสามารถจ่ายเงินช่วยเหลือผู้เดือดร้อนได้อีกชุดใหญ่นับล้านคน ซึ่งรวมทั้งอาชีพอิสระ ค้าขาย และอื่นๆ ด้วย

สำหรับการจ่ายเงินช่วยเหลือเดือนละ 5,000 บาท ระยะเวลา 3 เดือน (เม.ย.-มิ.ย.) จะทยอยจ่ายทุกวันตามผลคัดกรอง คลังไม่ได้มีกำหนดโควตาว่า จะต้องจ่ายเป็นจำนวนเท่าใดในแต่ละวัน ขึ้นอยู่กับข้อมูลการตรวจสอบ และไม่ใช่การจ่ายแบบล็อตเดียวรอบเดียวในเดือน เม.ย. เพราะการลงทะเบียนยังไม่สิ้นสุด มีรายใหม่เข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ เพราะเปิดให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ทุกวัน และการตรวจสอบคัดกรองแต่ละรายก็ใช้เวลาไม่เท่ากัน ในรายที่ใช้เวลาเร็วสุดอย่างน้อยคือ 7 วันทำการ ถ้าตรวจเสร็จก็จ่ายเงินได้ทันที

"ในวันที่ 8 เม.ย.2563 กระทรวงการคลังจะเริ่มทยอยส่งเอสเอ็มเอส รวมถึงอีเมล์ที่ได้มีการลงทะเบียนไว้ เพื่อแจ้งผลให้กับผู้ลงทะเบียนว่า ผ่านคุณสมบัติหรือไม่ หรือต้องยื่นหลักฐานเพิ่มเติม และจะเริ่มโอนเงินเข้าบัฐชีพร้อมเพย์ หรือบัญชีธนาคารที่ได้ลงทะเบียนไว้ สำหรับผู้ที่ไม่ผ่านคัดกรองคุณสมบัติ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์เราไม่ทิ้งกัน"

นายลวรณ กล่าวว่า สำหรับยอดผู้มาลงทะเบียนเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือล่าสุด วันที่ 5 เม.ย.2563 ณ เวลา 16.30 น. มียอดผู้ลงทะเบียนแล้ว 24.2 ล้านราย และยังเปิดให้ลงทะเบียนต่อเนื่องทุกวัน ส่วนยอดผู้มาขอยกเลิกสิทธิ์การรับเงิน ซึ่งเปิดให้ยกเลิกตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.2563 ที่ผ่านมา รวมอยู่ที่ 2.6 แสนราย เพิ่มขึ้นจากวันแรกที่มียอดมาขอยกเลิกกว่าแสนราย