ทะเลสาบหนานหูและวัยรุ่นหนานหนิง


เพิ่มเพื่อน    


ข้ามสะพานไปยังโซนพักผ่อนหย่อนใจของอุทยานทะเลสาบหนานหู เมืองหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง

              บนระเบียงที่พัก South Face Hostel ชั้น 12 ของตึก Nanhu No.6 ในเขตชิงซิว เมืองหนานหนิง วงสนทนาเริ่มขึ้นในเวลาราวๆ เที่ยงวัน ผมและท็อป น้องคนไทยที่เพิ่งรู้จักกันนั่งอยู่เป็นสองคนแรก ท็อปเคยมาเรียนภาษาจีนอยู่ 1 ปี จากนั้นกลับเมืองไทยไปสมัครงาน บริษัทก็ส่งมาประจำที่นี่สมใจ ทำงานมาได้อีก 1 ปี ภาษาจีนคล่องแคล่วอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็สารภาพว่าหากสนทนากันในหัวข้อเฉพาะ หรือประเด็นลึกๆ มันก็ไม่ง่ายเหมือนกัน

                 ชายชาวจีนวัยประมาณ 50 ปี แขกในโฮสเทลสนทนากับท็อปอย่างออกรส แกหันมาคุยภาษาจีนกับผมเป็นระยะ คงคิดว่าผมพูดจีนได้ ท็อปสอนให้ผมเรียกแกว่า “จางเกอ” แปลว่า “พี่จาง” เป็นเจ้าของยิมออกกำลังกายแห่งหนึ่ง รูปร่างยังดูฟิตเปรี๊ยะ ไม่มีไขมันส่วนเกิน เย็นนี้จางเกอจะเดินทางโดยรถไฟจีนไปยังชายแดนจีน-เวียดนาม แล้วจากนั้นก็เดินทางโดยรถไฟเวียดนามต่อไปยังฮานอย หรือที่คนจีนเรียก “เหอเหน่ย” จางเกอขอวีแช้ตผมไป เพราะไม่กี่วันข้างหน้าเราทั้งคู่อาจจะอยู่ที่ฮานอยในช่วงเวลาเดียวกัน หากต้องเจอกันจริงๆ คงต้องพึ่งแอปแปลภาษาสถานเดียว

                 เด็กวัยรุ่นจำนวนหนึ่งไม่รู้โผล่มาจากไหน ทราบในคืนวันนั้นว่าพวกเขาเป็นแขกถาวรของที่นี่ เช่าห้องดอร์มไว้แบบรายเดือน พวกเขาเรียนจบชั้นมัธยมปลายแล้ว แต่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัยในทันที กำลังเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมตัวไปเรียนต่อเมืองนอก ท็อปบอกผมว่าเด็กพวกนี้ตื่นตอนบ่าย เพราะเข้านอนตอนเช้า


ทะเลสาบหนานหูและกลุ่มตึกสูงในเมืองหนานหนิง

                ผู้หญิงเจ้าของเกสต์เฮาส์ชื่อเทรซี่เข้ามาในโฮสเทลช่วงบ่ายเช่นกัน เธอพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก คงเคยไปเรียนเมืองนอกมาก่อน ดูๆ ไปคล้ายเป็นผู้ปกครองเด็กพวกนี้ บางวันเธอนอนค้างที่โฮสเทล บางวันก็กลับไปนอนบ้าน ท็อปอาศัยสถานะแขกประจำต่อราคาค่าที่นอนให้ผมจากคืนละ 60 หยวนในคืนแรก เหลือคืนต่อไป 50 หยวน หากว่าผมจะพักต่อ เธอก็ตกลง เข้าใจว่านี่เป็นราคาของคนจีนและลูกค้าประจำ

                 หนุ่มไทยจากไปในเวลาบ่าย 2 ครึ่ง เขาเดินทางไปอีกเมือง อยู่ห่างจากหนานหนิงประมาณ 1 ชั่วโมง ผมผละจากวงสนทนาเพื่ออาบน้ำและงีบเอาแรง ตื่นตอนเย็นออกไปนั่งริมระเบียง มองเห็นอุทยานทะเลสาบหนานหูอยู่ใกล้ๆ ถามโน่นนี่กับเทรซี่นิดหน่อยแล้วลงจากตึกเดินมุ่งทิศใต้ไปบนถนน Yuanhu South ลอดซุ้มประตูเข้าสู่อุทยาน สังเกตเห็นว่ามีคนปิ้งไส้กรอกขายอยู่หลายเจ้า เป็นไปได้ว่าเป็นของขายดีสำหรับช่วงที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาว

                ทะเลสาบหนานหูนี้ในอดีตเป็นลำห้วยที่เชื่อมกับแม่น้ำยง เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้งเมื่อยามฝนตกหนัก จึงมีการขุดลอกจนกลายเป็นทะเลสาบในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-ค.ศ.907) กระทั่งปี ค.ศ.1972 ได้เลื่อนสถานะเป็นอุทยาน หากมองจากบนฟ้าจะเห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยที่ด้านกว้างค่อนข้างสั้น จนภาพออกมาคล้ายกับไม้บรรทัด ด้านยาวจะอยู่ทางทิศเหนือและใต้ ฝั่งเหนือยาว 3,560 เมตร ฝั่งใต้ยาว 3,685 เมตร ฝั่งตะวันออกกว้าง 400 เมตร ฝั่งตะวันตกกว้าง 330 เมตร มีเส้นทางทัวร์ไว้วิ่งหรือปั่นจักรยานรอบทะเลสาบ 8,170 เมตร พร้อมชมสะพานข้ามฝั่งทะเลสาบ 7 สะพาน ส่วนพื้นที่สวนและลานกิจกรรมต่างๆ มีประมาณ 900 ตารางเมตร

           ผมเดินข้ามสะพานโค้งที่มีช่องวงกลมด้านล่างสะพาน 9 ช่องไปฝั่งทิศใต้ มีขั้นบันไดให้ขึ้นไปยังลานกว้าง ตรงกลางคืออนุสาวรีย์สีแดงเรียกว่า “อนุสาวรีย์วีรชนไป่เซ่อ” สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการพลีชีพของชาวจ้วงในเมืองไป่เซ่อเมื่อปีค.ศ. 1929 พวกเขาสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในการต่อต้านรัฐบาลสาธารณรัฐจีนของพรรคชาตินิยมจีนหรือก๊กมินตั๋งที่นำโดยจอมพลเจียงไคเช็กในเวลานั้น

           ไป่เซ่อเป็นเมืองเล็กๆ ทางตะวันตกของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง อยู่ห่างจากหนานหนิงกว่า 200 กิโลเมตร เติ้งเสี่ยวผิงในวัย 25 ปีจัดตั้งสมาชิกในเมืองนี้ได้หลายพันคนในการเดินทางมาเยือนเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1929 จนเกิดมีกองทหารขึ้น พวกเขาประกาศตัวเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลจีนคณะชาติ เริ่มต้นในวันที่ 11 ธันวาคมปีเดียวกัน ทว่าการต่อสู้ไม่เป็นไปดังหวัง มีคนต้องพลีชีพจำนวนมาก แต่ก็ยังมีผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่งได้เข้าร่วมในการเดินทัพทางไกลปีค.ศ. 1934 หรือที่เรียกว่า Long March อย่างไรก็ตามไป่เซ่อได้กลายเป็นฐานการปฏิวัติแห่งหนึ่งในเวลาต่อมา กระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์โดยการนำของประธานเหมาเจ๋อตุงเอาชนะและขับไล่จีนคณะชาติของเจียงไคเช็กจนต้องหนีไปยังเกาะไต้หวันในปี ค.ศ. 1949  

           ที่ฐานของอนุสาวรีย์วีรชนไป่เซอมีตัวอักษรที่เขียนไว้โดยอดีตประธานาธิบดีเติ้งเสี่ยวผิงในพิธีเปิดเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1981 วันครบรอบ 52 ปีของเหตุการณ์ แปลได้ว่า “เหล่าวีรบุรุษจะไม่มีวันถูกลืมเลือน” จากนั้นทุกๆ ปีจะมีการจัดงานรำลึกวีรกรรมขึ้น ส่วนที่ด้านหลังของอนุสาวรีย์คือพิพิธภัณฑ์การลุกฮือแห่งไป่เซ่อ

           ไม่ทันที่จะหาคำตอบว่าเวลาเย็นเยี่ยงนี้พิพิธภัณฑ์ปิดไปหรือยังก็ต้องมีสิ่งมาเบี่ยงเบนความสนใจ กลุ่มสตรีผู้สูงอายุในชุดโทนสีแดงแบ่งออกเป็น 2กลุ่มร้องเพลงตอบโต้กันแบบท่อนต่อท่อนหรือเพลงต่อเพลงผมก็ไม่แน่ใจ เมื่อพิจารณาภาพที่เห็นอยู่นานเกือบชั่วโมงก็พอสรุปได้ว่าคงจะเป็นการพบปะในโอกาสพิเศษหรือการนัดรวมญาติของชาวจ้วง พวกเขาน่าจะมาจากคนละเมืองกัน ถึงตอนจะลาก็ครวญเพลงอาลัยกันเนิ่นนาน ฝ่ายหนึ่งเดินไปก่อน อีกฝ่ายที่เดินตามก็ตั้งแถวหน้ากระดานร้องเพลงพร้อมกันขึ้นมา ผมรู้สึกว่าไพเราะน่าฟังอย่างกับคณะประสานเสียงมืออาชีพ ฝ่ายที่เดินล่วงไปก่อนสักสิบเมตรหันหน้ากลับมาฟังอย่างตั้งใจให้อีกฝ่ายร้องจบ จากนั้นก็ถึงคราวฝ่ายตัวเองตั้งแถวหน้ากระดานประสานบทเพลงกลับไปบ้าง

           ฝ่ายนำหน้าร้องเสร็จก็หันกลับเดินต่อ ไม่ถึงนาทีหรอก ฝ่ายตามหลังร้องขึ้นมาอีก แล้วอีกฝ่ายก็ต้องร้องแก้กลับไป เป็นภาพที่ดำเนินอยู่อย่างไม่จบสิ้น ในเวลานั้นนอกจากผมแล้วก็คิดว่าไม่มีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติอีก ทว่าแม้แต่ชาวจีนด้วยกันก็ให้ความสนใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกภาพ หลายคนยิ้มหัวให้กับความน่ารักของคุณป้าคุณยายทั้งหลาย

           มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มากมายที่ยืนยันได้ว่าชาวจ้วงนั้นมีบรรพบุรุษร่วมกับชาวไทและลาวมาตั้งแต่เกือบ 3 พันปีก่อน มีความเชื่อและวัฒนธรรมประเพณีหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน ภาษาพูดก็อยู่ในตระกูลเดียวกัน การนับเลขและการใช้คำเรียกชื่อบางอย่างตรงกันน่าเหลือเชื่อ เพียงแต่ว่าหากให้มานั่งพูดคุยกันในเวลานี้คงไม่สามารถสื่อสารกันรู้เรื่องแล้ว

           ปัจจุบันชาวจ้วงอาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงมากกว่า 14ล้านคน หรือประมาณ 32 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดในมณฑลนี้ (ชาวจีนฮั่นเป็นประชากรส่วนใหญ่ที่ 62 เปอร์เซ็นต์) และชาวจ้วงถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ที่สุดหรือมีจำนวนมากที่สุดในสาธารณรัฐประชาชนจีน


อนุสาวรีย์วีรชนไป่เซ่อ สร้างขึ้นเพื่อรำลึกการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลจีนคณะชาติสมัยที่พรรคคอมมิวนิสต์ยังไม่ผงาดง้ำ 

                ผมเดินข้ามสะพานกลับไปอีกฝั่ง ซื้อไส้กรอกปิ้งไม้ละ 5 หยวน มองดูในตู้แช่ไม่เห็นเบียร์ก็กินไส้กรอกกับน้ำเปล่า จากนั้นเดินไปยังทิศตะวันตกบนทางเท้าริมทะเลสาบ หันกลับมามองเห็นผู้สูงวัยอารมณ์ดียังคงปะทะประชันบทเพลงกันอยู่กลางสะพาน ไม่รู้ว่าสิ้นคืนนี้บรรดาผู้อาวุโสจะออกพ้นจากอุทยานหรือไม่ แต่ถึงจะไม่รีบร้อนก็ไม่เป็นไรเพราะอุทยานทะเลสาบหนานหูเปิดตลอด 24 ชั่วโมง

                ในอุทยานแห่งนี้ยังมีสวยกล้วยไม้จัดแสดงไว้นานาพรรณ เป็นสวนกล้วยไม้ขนาดใหญ่แห่งแรกในเมืองหนานหนิงตั้งแต่ปี ค.ศ.1973 รวมถึงสวนบอนไซในพื้นที่ 7.5 ไร่ เปิดในปี ค.ศ.1987 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีการก่อตั้งเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง นอกจากนี้บริเวณทางเท้ารอบทะเลสาบที่ทำไว้อย่างดียังแยกเอาไว้ 4 โซนน่าสนใจ ได้แก่ โซนพื้นที่สีเขียวที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ไม้พุ่ม, โซนพักผ่อนหย่อนใจเหมาะกับการทำกิจกรรมครอบครัว ซึ่งรวมถึงพื้นที่พิพิธภัณฑ์การลุกฮือไป่เซ่อ, โซนกีฬาและวัฒนธรรม ออกแบบให้สะท้อนวัฒนธรรมชาวจ้วง และโซนชมวิวที่จัดไว้ยาวถึง 1,600 เมตร


คณะประสานเสียงรุ่นใหญ่ร้องเพลงร่ำลากันอย่างไม่รู้จบ

                เว็บไซต์ visitorourchina.com ให้ข้อมูลว่าเวลากลางคืนมีการแสดงภาพยนตร์กลางน้ำซึ่งใช้ม่านน้ำเป็นจอ เทคนิคแสงสีเสียงระดับสูงทำให้ภาพออกมาเป็น 3 มิติตื่นตา ไฮไลต์คือการนำภาพของผู้ชมไปขึ้นจอม่านน้ำกลางทะเลสาบที่ยาวถึง 330 เมตรให้ได้ดูภาพตัวเองอย่างภูมิอกภูมิใจ รัฐบาลเมืองหนานหนิงได้ลงทุนในโครงการนี้ไปมากกว่า 26 ล้านหยวน เริ่มจัดโชว์ตั้งแต่ปี ค.ศ.2003 

                มีป้ายลูกศรชี้ไปทางทิศตะวันตก เขียนว่า Bar Street ผมเดินตามไปแต่ไม่เจอ ออกจากอุทยานเดินไปบนถนนใหญ่ชื่อ Xinghu ไปทางทิศตะวันตกเหมือนเดิมด้วยยังมีความหวังว่าจะเจอบาร์สตรีทที่ว่า เสี่ยงเลี้ยวซ้ายเข้าไปในซอยหนึ่ง แวะซื้อเบียร์ชิงเต่าในซูเปอร์มาร์เก็ตมา 1 กระป๋อง ราคากระป๋องละ 4.3 หยวน เมื่อไม่มีวี่แววของย่านดื่มกินก็เดินกลับออกมาหน้าปากซอย เจอร้านอาหารที่กินง่ายและเหมาะสมกับคนพูดจีนไม่ได้ แต่ละอย่างปรุงสุกใหม่อยู่ในถ้วยเรียบร้อยแล้ว ผมเลือกหยิบกับข้าว 3 อย่างใส่ถาดขึ้นไปกินบนชั้น 2 ทั้งหมดแค่ 21 หยวน หรือถ้วยละ 7 หยวน ข้าวสวย ข้าวต้ม และน้ำซุปฟรีไม่อั้น เห็นเด็กวัยรุ่นลงไปเติมข้าวคนละสองสามถ้วย ส่วนผมไม่ต้องเติมก็อิ่มแปล้ในราคาไม่ถึง 100 บาท


จักรยานให้เช่ามีอยู่ทั่วเมืองหนานหนิง ส่วนมอเตอร์ไซค์ที่ชาวเมืองใช้กันก็ล้วนเป็นแบบไฟฟ้า

                ความคิดเรื่องตามหาบาร์สตรีทหมดไป สิ่งที่จำเป็นมากกว่าเวลานี้คือถุงเท้า เพราะที่ใส่อยู่เป็นถุงเท้าสะอาดคู่สุดท้าย ฟ้ามืดลงไปสักพักแล้ว ผมเดินไปทางทิศตะวันตกต่ออีกหน่อย เลี้ยวขวาที่สี่แยก เดินขึ้นเหนือไปบนถนน Gucheng จนเจอสี่แยกใหญ่ถัดมา มีห้างสรรพสินค้าตั้งอยู่จึงเข้าไปหาร้านขายถุงเท้า หาอยู่นานก็ไม่เจอ ออกมาเจอวางขายอยู่นอกห้าง เขียนไว้คู่ละ 10 หยวน แต่พอผมจะซื้อเจ๊คนขายพลิกให้ดูป้ายราคา ระบุ 60 หยวน ผมจึงไม่ซื้อเพราะแพงไป จากนั้นเดินต่อไปทางทิศตะวันออกบนถนน Minzu ลองแวะร้านขายเครื่องเขียน ไม่มีถุงเท้าขาย กระทั่งถึงสี่แยกตรงสถานีรถไฟใต้ดิน Macun เลี้ยวขวาเข้าถนน Yuanhu South เดินเข้าตึก Nanhu No.6 เท่ากับผมเดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมเกือบจัตุรัส ด้านละ 1 กิโลฯ รวมเป็น 4 กิโลฯ ยังไม่นับตอนที่เดินในอุทยานทะเลสาบ สุดท้ายตอนเข้าไปซื้อเบียร์ในมินิมาร์ทด้านล่างตึกเจอถุงเท้าวางขายอยู่คู่ละ 12 หยวน

                เดินเข้าที่พักเจอกับหนุ่มวัยรุ่นหน้ามน ลูกค้ารายเดือนของโฮสเทล เขาถ่อมตัวว่าพูดอังกฤษไม่เก่ง แต่ความจริงดีทีเดียว บอกผมว่าหากมีอะไรสงสัยให้ถามเขาได้ ตอนผมเข้าไปอาบน้ำเขาเดาถูกว่าผมมีปัญหาในการเปิดก๊อกน้ำอุ่น เขาเคาะประตู ผมต้องรีบคว้าผ้าเช็ดตัวมานุ่ง หนุ่มน้อยเข้ามาสาธิตการใช้งาน เปิดน้ำกระเซ็นจนเปียกมะล่อกมะแล่กไปด้วยกันทั้งคู่ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่สอนตั้งแต่ก่อนจะอาบ


ผู้เขียนเดินหาร้านขายถุงเท้าแต่เจอร้านขายแมว 

                ระหว่างผมนั่งดื่มเบียร์อยู่ที่โต๊ะกินข้าว มีวัยรุ่นสาวสวมแว่นเข้ามาคุย เธอกะจะฝึกภาษาอังกฤษ แต่คุยไม่ค่อยรู้เรื่องและเขินอายปนประหม่าไม่กล้าพูดเพราะกลัวพูดผิด สาวตัวสูงที่เดินไปเดินมาทนไม่ได้ ตะโกนพูดบางคำกับเธออย่างเป็นกันเอง เมื่อได้คุยกันก็ทำให้รู้ว่าสาวตัวสูงพูดภาษาอังกฤษได้ดี ผมถามสาวแว่นว่าเพื่อนเธอจะไปเรียนที่ไหน ได้รับคำตอบว่าสาวตัวสูงทำงานแล้ว ส่วนตัวสาวแว่นเองยังไม่ได้ตัดสินใจ   

                หนุ่มแว่นกลับมาจากร้านเกมเข้าร่วมวงสนทนา เขาคือคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีที่สุดในกลุ่มเด็กเหล่านี้ กำลังจะไปเรียนด้านภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ถามผมเรื่องราคามอเตอร์ไซค์และกฎระเบียบการขับขี่ที่เมืองไทย ฝ่ายหนุ่มหน้ามนก็กำลังเรียนภาษาอังกฤษ มีเป้าหมายจะไปเรียนต่อด้านดนตรีที่มาเลเซีย เขาสั่งซื้อไก่ทอดมากินเป็นมื้อค่ำ

                เด็กพวกนี้ไม่ค่อยออกไปกินข้าวข้างนอก ใช้วิธีสั่งทางแอปให้มอเตอร์ไซค์มาส่ง ตอนหลังผมสังเกตตามร้านอาหารพบว่าหลายร้านที่ไม่ถึงกับใหญ่โตหรูหราจะจัดโต๊ะนั่งกินในร้านไว้ไม่มาก คงเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

                ก่อนจะดื่มเบียร์หมดและปลีกตัวเข้านอน ผมเห็นภาพหนุ่มหน้ามนดูสนิทสนมและคล้ายจะแอบคลอเคลียอยู่กับสาวตัวสูง ทั้งคู่น่าจะเป็นแฟนกัน

                โล่งใจเหลือเกินที่หนุ่มหน้ามนเป็นชายทั้งแท่ง.

 

แกลลอรี่


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"