4 เม.ย.63 - นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง "สิทธิเสรีภาพพื้นฐานในสถานการณ์ COVID" ผ่าน www.thaipost.net โดยมีรายละเอียดดังนี้
ปุจฉา
อัตราตายของผู้ติดเชื้อในโรคซาร์เมื่อ ๑๖ ปีก่อน มีถึง ๑๐% ทำไมไม่เห็นโลกต้องวุ่นวาย อลหม่านปิดบ้านปิดเมือง กักตัวกันแบบ COVID-19 นี้เลย ทั้งๆที่โรคนี้อัตราตายแค่ ๒% เท่านั้น
วิสัชนา
นั่นคุณพูดถึงความร้ายแรง แต่ถ้าพูดถึงความรุนแรงของการระบาดแล้ว COVID แรงกว่าซาร์ถึง ๑๐๐๐ เท่า เพราะโรคนี้ติดเชื้อแล้วยังเดินไปมาได้ ๑๔ วันถึงจะเห็น อาการ แต่ซาร์นั้นติดแล้วทรุดแล้วตายเลย โอกาสแพร่เชื้อของผู้ติดเชื้อจึงมีน้อยยิ่งไปกว่านั้นใน ๑๐๐ คนที่ป่วยด้วย COVID จะมี ๑๐ % เท่านั้นที่จะมีอาการป่วยถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล อีก ๘๐ % ที่เหลือจะมีอาการน้อยมากจนถึงไม่มีอาการเลยก็ได้โอกาสแพร่เชื้อยิ่งสูงขึ้นไปอีก
เห็นอย่างนี้แล้ว การแปลงกายเชื้อไวรัสตระกูล COVID จากโรคซาร์มาเป็น COVID-19 นี้ถ้ามีผู้ออกแบบจ้องจะทำลายมนุษยชาติจริงแล้ว ก็ต้องนับว่าฉลาดมากๆ ที่สามารถสร้างเชื้อตัวใหม่ให้ลับๆร่อๆ ระบาดได้รุนแรงกว่าเดิมได้ถึงขนาดนี้ ยอดในบ้านเราทุกวันนี้ที่จะแตะ ๒๐๐๐ คนแล้วนั้น นั่นเป็นยอด “ผู้ป่วย” ไม่ใช่ “ผู้ติดเชื้อ”นะครับ เหตุเพราะคุณหมอใน ศบค.เขาทำงานโรงพยาบาลเป็นหลัก เขาก็ต้องรายงานยอดคนป่วยที่ยืนยันโรคและรับรักษาแล้วเท่านั้นเป็นธรรมดา ส่วนในสังคมจะมีผู้ติดเชื้อเท่าใดนั้นเป็นเรื่องระบาดวิทยาที่เขาจะไม่พูด ซึ่งจนป่านนี้น่าจะติดเชื้อเป็นหมื่นแล้วก็ได้ ที่ถึงหมื่นก็เพราะว่าตามสถิตินั้นผู้ติดเชื้อที่ออกอาการป่วยถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล จะมีแค่ ๒๐ % เท่านั้น นั่นเอง
ปุจฉา
โรคติดต่อมันเป็นเรื่องธรรมดาโลก ผ่านไปสักระยะมันก็หยุด ผู้คนจึงต้องรับผิดชอบดูแลตัวเองให้ดี รัฐก็ดูแลเตรียมโรงพยาบาลให้พร้อม ส่วนใครไม่ระวังจนติดเชื้อ ก็ตายไปเอง ผมไม่เห็นมันจะหนักหัวใคร ทำไมต้องมา กักตัวคนกลับจากต่างประเทศ หรือเอาผิดจะลงโทษคนที่จับกลุ่มเฮฮาปาร์ตี้บนชายหาด ออกไปซื้อเบียร์ตอนเที่ยงคืนด้วย
ผมเป็นเสรีชน! ….ผมขอยืนยัน..ไม่ยอมรับให้รัฐมามีบทบาทเป็นเหมือนพ่อแม่ของผมหรอก คุณหรือใครจะยอมเป็นลูกลุงตู่เขาสั่งอะไรก็ยอมกันหมด...นั่นก็เรื่องของคุณ พวกคุณจะเอาเสียงข้างมากมาลิดรอนสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของผมไม่ได้ ผมให้รัฐคอยทำโรงพยาบาลให้ดีเท่านั้นก็พอแล้ว
วิสัชนา
เหตุผลของคุณอาจจะรับฟังได้ ถ้าเป็นแค่การระบาดของไข้หวัดใหญ่เท่านั้น ไข้หวัดใหญ่นั้นก็ถึงตายได้เหมือนกัน แต่ที่รัฐไม่ทำอะไรก็เพราะมันไม่ระบาดแบบทะลักทะลายแบบนี้ คุณรู้ไหมว่าในการติดต่อ ๑ รอบ ผู้ติดเชื้อ COVID ๑ คน จะแพร่เชื้อได้ ๒.๖ คนทีเดียว ดังนั้นถ้ายอดผู้ติดเชื้อเมืองไทยวันนี้มี ๑๐,๐๐๐ คน การติดต่อใน ๑ รอบต่อไปจะทะลุรวมเป็นยอดสะสมถึง ๓๖,๐๐๐ คน เลยทีเดียว
ใน ๓๖,๐๐๐ คนนี้ มี ๒๐ % คือ ๗,๒๐๐ คน ต้องเข้าโรงพยาบาล ผมถามว่า ศักยภาพโรงพยาบาลของเราที่มีอยู่ รับได้ไหม ทราบว่าแค่เครื่องช่วยหายใจ ก็มี ๒,๐๐๐ เครื่องเท่านั้นมิใช่หรือ
จำนวนคนไข้ที่ทะลักล้นจนเกินขีดจำกัดของโรงพยาบาลนี้นี่เอง ที่ต้องล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แบบอิตาลี เสปน หรือ นิวยอร์ค ซึ่งผู้ตายเหล่านี้ถ้าป่วยในยามที่โรงพยาบาลยังมีกำลังรับได้เช่นปกติแล้ว ส่วนใหญ่เขาก็จะไม่ต้องตกตายเช่นนี้
ยอดที่ตายเพราะป่วยจนล้นเกินศักยภาพที่โรงพยาบาลมีอยู่นี้ ทางระบาดวิทยาเขาถือเป็น “Avoidable Death” คือความตายที่หลีกเลี่ยงได้ ถ้าทุกคนช่วยกันรับมือ โดยยอมทำตามมาตรการป้องกันโรคของส่วนรวม ที่รัฐกำหนดขึ้น
เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ความตายของ Avoidable Death จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรับผิดชอบ เกิดขึ้นเมื่อใดทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบในความเฮงซวยของตนด้วย ส่วนเสรีชนคนไหนจะคิดว่ากูตายก็เรื่องของกู ก็เชิญคิดไปตามสบาย
อันที่จริง..ตายเสียได้ก็ดี เสรีชนบ้าๆบอๆ งี่เง่า เกะกะ กวนตีน แบบนี้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |