นับวันโควิด-19 ยิ่งแพร่ระบาดชนิดที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากการเริ่มระบาดที่ประเทศจีนในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้า นำไปสู่การลุกลามในอีกหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นไทย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ลามไปถึงอีกฟากหนึ่งของโลกอย่างในยุโรป อาทิ อิตาลี สเปน รวมถึงสหรัฐอเมริกา ที่ในตอนนี้ถือว่ามีผู้ติดเชื้อสะสมเป็นอันดับหนึ่งของโลกไปแล้ว นับว่าเป็นเชื้อไวรัสที่มีการกระจายไปทั่วโลก และลามเร็วที่สุดในโลกด้วย
ปัจจุบันสหรัฐอเมริกายังคงน่าเป็นห่วงมีผู้ติดเชื้อทะลุกว่า 2 แสนคน และผู้เสียชีวิตกว่า 6 พันคนไปแล้ว โดยผู้ติดเชื้อกระจายอยู่ทุกรัฐ ซึ่งมีการยืนยันกันแล้วว่ารัฐนิวยอร์กเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดแห่งใหม่ในมะกันแล้ว โดยมีผู้ติดเชื้อใกล้จะทะลุ 1 แสนคน ในด้านความหนาแน่นของประชากรมีกว่า 18 ล้านคน
ในขณะที่ประเทศที่มีการตายจากโควิด-19 มากที่สุดในโลกคือประเทศอิตาลี โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 1.3 หมื่นราย มีผู้ติดเชื้อสะสมทะลุกว่า 1 แสนรายแล้ว อย่างไรก็ตาม จากการเปรียบเทียบยอดผู้ติดเชื้อสะสมระหว่างสหรัฐ ยุโรป กับประเทศฝั่งเอเชียแล้ว ฝั่งประเทศตะวันตกยังคงมียอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงและเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม วิธีการป้องกันตัวเองที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการสวมหน้ากากอนามัย ไม่ใช้มือสัมผัสใบหน้า และน้ำยาแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือทุกครั้ง โดยเฉพาะชาวเอเชีย การสวมหน้ากากอนามัยถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์แรกๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันการระบาดของไวรัส ที่ดูเหมือนจะช่วยให้การติดเชื้อชะลอตัวลงและสามารถควบคุมการระบาดได้เร็วขึ้น
แต่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำสวนทางกันว่า ประชาชนไม่ควรใส่หน้ากากหากไม่ได้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือดูแลคนที่กำลังป่วยอยู่ และมีหลักฐานชี้ถึงผลเสียหากใช้หน้ากากผิดวิธี หรือใส่ไม่ถูกต้อง อีกเหตุผลก็คือโลกกำลังขาดแคลนหน้ากากอนามัยอย่างหนัก คนส่วนใหญ่ที่เสี่ยงไวรัสทุกวินาทีคือบุคลากรการแพทย์แนวหน้า การนึกถึงพวกเขาเหล่านั้นไม่มีหน้ากากอนามัยใส่ คือเรื่องเลวร้ายมาก ในชุมชนเราจึงไม่แนะนำเรื่องการใส่หน้ากาก เว้นแต่มีอาการป่วย และเป็นมาตรการป้องกันแพร่เชื้อผู้อื่น ส่วนคนที่อยู่บ้านก็แนะนำเฉพาะคนป่วยและคนที่ดูแล
แม้คำแนะนำขององค์การอนามัยโลกจะมีเหตุผลส่วนหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าโรคนี้มีหลายคนที่เป็นผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการจำนวนมากและยังสามารถแพร่ไวรัสได้ด้วย ซึ่งวิธีการแพร่เชื้อก็ไม่ต่างกันกับคนที่แสดงอาการแล้ว คือการสัมผัสจากการไอ จาม ทั้งนี้ การพบการระบาดของไวรัสจากผู้ที่ไม่แสดงอาการจะไม่ใช่เรื่องใหม่ และมีการคาดการณ์ถึงเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการระบาด และเริ่มพบหลักฐานที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนั้นเราควรสวมหน้ากากอนามัยให้ติดเป็นนิสัย
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยุโรปมีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นคือวัฒนธรรมทางสังคม ในช่วงแรกสังคมยุโรปมองว่าคนที่หน้ากากอนามัยทั้งหมดเป็นผู้ป่วย ผู้ป่วยเท่านั้นที่ควรสวมหน้ากากอนามัย ก็เป็นเสมือนการไปแขวนป้ายเพื่อเชื้อชวนความกลัวและความเกลียดชังให้เข้ามาหาพวกเขาที่ใส่หน้ากากอนามัยอยู่ แต่หากทุกคนต่างสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่นอกบ้าน ผู้ติดเชื้อก็มีแนวโน้มจะทำสิ่งนั้นเช่นกันเพื่อปกป้องคนที่อยู่รอบตัวด้วย
ทั้งนี้ คำแนะนำขององค์การอนามัยโลกดูเหมือนสวนทางกับผู้อำนวยการป้องกันและควบคุมโรคของจีน ที่มองว่าความผิดพลาดขนานใหญ่ของสหรัฐและยุโรปคือ ผู้คนไม่สวมหน้ากากเมื่อออกไปในที่สาธารณะ ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งแบบก้าวกระโดด กลับกันรัฐบาลของหลายประเทศในเอเชียแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากในที่สาธารณะ ไม่ว่าพวกเขาจะมีอาการป่วยหรือไม่ก็ตาม แม้นั่นจะสร้างความสงสัยให้กับสื่อตะวันตกหลายแห่ง จนถึงกับมีการพูดถึงความหมกมุ่นของชาวเอเชียที่มีต่อหน้ากากอนามัย แต่เทคนิคดังกล่าวก็ดูเหมือนจะมีส่วนช่วยในการลดการระบาดได้ ทั้งในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีนแผ่นดินใหญ่ ประชาชนใช้หน้ากากอนามัยกันอย่างแพร่หลาย เพราะหน้ากากอนามัยมีส่วนช่วยในป้องกันมากกว่าที่จะทำให้ติดเชื้อเพิ่ม แม้จะเป็นหน้ากากที่ทำกันเองที่บ้าน แต่หากสวมอย่างถูกต้อง และหลีกเลี่ยงที่จะสัมผัสใบหน้า เชื้อโรคก็จะทำอะไรเราไม่ได้ และอาจช่วยลดโอกาสที่เราจะสัมผัสกับไวรัส ดังนั้นจึงทำให้ประเทศในเอเชียประสบความสำเร็จในการลดการระบาด ในขณะที่ในยุโรปและอเมริกาเหนือ ซึ่งประชาชนแทบไม่ใช้หน้ากากอนามัย การระบาดเริ่มลุกลามรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
โดยหน้ากาก N95 เป็นของจำเป็นสำหรับแพทย์และผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย ซึ่งเป็นเวชภัณฑ์ที่กำลังขาดแคลนมากในทุกประเทศ แม้กระทั่งรัฐบาลรัสเซียก็ได้ประกาศห้ามส่งออกอุปกรณ์ป้องกันทางแพทย์ เช่น หน้ากากเครื่องช่วยหายใจ และชุดป้องกันแบบมิดชิด เพื่อรับประกันว่าประชาชนและผู้ป่วยโควิด-19 จะสามารถเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ แต่มติของคณะรัฐมนตรีระบุว่า การงดส่งออกจะไม่กระทบต่อการส่งออกด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม โดยจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้เวชภัณฑ์อย่างหน้ากากอนามัย เครื่องช่วยหายใจ ยาต้านไวรัสเกิดภาวะขาดแคลนเทียม เพราะผู้ฉวยโอกาสส่งออกไปขายต่างประเทศเพื่อแสวงหากำไร
ด้านมาตรการในการสวมใส่หน้ากาก เป็นมาตรการแรกที่กระทรวงสาธารณสุขไทยได้แนะนำให้ประชาชนสวมใส่รวมกับการเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งการใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่เห็นกันคุ้นตาที่มีสีเขียว สีฟ้า หรือสีขาว สามารถป้องกันการกระจายตัวของโรคโควิด-19 ได้ ยอมรับว่าทั่วโลกมีการขาดแคลนหน้ากากอนามัยทุกแบบ และทางหน่วยงานรัฐของไทยได้มีการขอรับบริจาคอย่างต่อเนื่อง โดยทางโรงพยาบาลรามาธิบดีได้คิดค้นวิธีกำจัดเชื้อโดยใช้เครื่อง UV-C โดยการฉายแสงฆ่าเชื้อ และใช้วิธีดรายฮีต อบด้วยความร้อนสูง 60-75 องศา สามารถจำกัดเชื้อโควิดและโรคซาร์สได้ ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะทำให้มีอุปกรณ์และเวชภัณฑ์เพียงพอในระยะยาว
ในส่วนของนักวิจัยสหรัฐได้แนะนำให้ใช้ไอระเหยของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ฆ่าเชื้อหน้ากาก N95 แบบเดียวกับการฆ่าเชื้ออุปกรณ์ในห้องแล็บ ซึ่งการฆ่าเชื้อจำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษในห้องปิดเพื่อควบคุมสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
แม้ยังไม่รู้ว่าวิกฤติดังกล่าวจะจบลงในช่วงไหน ถ้าประชาชนและสังคมทุกในหลายประเทศให้ความร่วมมือ โรคโควิดก็มีสิทธิ์ที่จะจบลงในปีนี้ แต่ความเป็นจริงถ้าไม่นับประเทศในเอเชียบางส่วน ก็ไม่มีประเทศไหนที่ผู้ติดเชื้อลดลง ณ ขณะนี้เราทำได้ หมั่นดูแลตัวเองมากขึ้น พยายามงดออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นต้องควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง วิกฤตินี้เกินกว่าประเทศเดียวจะรับมือไหว ทั่วโลกต้องร่วมมือกันหยุดโควิดให้ได้ เพราะเชื้อโรคไม่สามารถแพร่ระบาดได้ถ้าไม่มีคนเป็นพาหะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |