คำเตือนของบิล เกตส์, ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ Microsoft เมื่อปี 2015 ใน TED Talk เรื่องโรคระบาดไวรัสลามโลกไม่มีใครสนใจเท่าใดนัก
เมื่อ 5 ปีก่อน บิล เกตส์ บอกว่า สงครามครั้งต่อไปจะไม่ใช่เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ แต่จะเป็น “วายร้ายชื่อไวรัส” ซึ่งสามารถจะฆ่าคนได้ถึง 30 ล้านคน
อีกทั้งยังเตือนด้วยว่า หากเกิดโรคระบาดร้ายแรงอย่างที่เขากลัวจริง ระบบสาธารณสุขของสหรัฐและของโลกจะไม่สามารถรองรับได้
(“If anything kills over 10 million people in the next few decades, it’s likely to be a highly infectious virus rather than a war. Not missiles, but microbes.)”
ต่อมาในปี 2018 หรือสองปีก่อนหน้านี้เอง บิล เกตส์ ก็ส่งคำเตือนทำนองเดียวกันนี้อีก
เขาขึ้นเวทีของผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดและทำนายว่าโรคระบาดร้ายแรงระดับโลกที่เขากลัวนั้นอาจจะเกิด “ภายในสิบปีข้างหน้า”
เอาเข้าจริงๆ เพียงแค่สองปีเศษๆ หลังจากเขาพยากรณ์ เจ้า Covid-19 ก็อาละวาดอย่างหนักหน่วงและรุนแรง
บิล เกตส์ ไม่เพียงแต่แสดงความเห็นด้วยวาจาเท่านั้น เขายังแสดง “ภาพจำลอง” ของ Institute for Disease Modeling ที่วิเคราะห์ล่วงหน้าว่า
โรคระบาดปี 1918 คร่าชีวิตคน 50 ล้านคน
หากเกิดโรคระบาดแบบเดียวกันนี้อีก จะมีคนตาย 30 ล้านคน
โรคระบาดที่ว่านี้อาจจะเกิดจากฝีมือผู้ก่อการร้ายกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
หรืออาจจะมาจากความบิดเบี้ยวของธรรมชาติ
เขาเตือนว่า “เราจะต้องเตรียมการตั้งรับโรคระบาดรอบใหม่อย่างจริงจัง เหมือนกับที่เราเตรียมการสำหรับสงครามกันเลยทีเดียว”
บางคนเรียก Virus แต่นักวิชาการด้านนี้บางคนเรียกมันว่า Killer Germs
วันก่อน บิล เกตส์ ถูกพิธีกรรายการ TED ของสหรัฐถามว่า
“ถ้าคุณเป็นประธานาธีบดีสหรัฐวันนี้ คุณจะสู้กับ Covid-19 อย่างไร?”
เขาตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า
“ผมจะให้คนอเมริกันกักตัวเองทั่วประเทศ (isolation)...เพื่อ flatten the curve เพราะไม่มีทางอื่นที่จะเอาอยู่”
คำว่า isolation หมายถึงการแยกให้โดดเดี่ยว
และ flatten the curve คือการทำให้เส้นกราฟของจำนวนผู้ติดเชื้อ “แบน” ด้วยการกดไม่ให้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เขาบอกว่าในกรณีจีนนั้น เมื่อเขา “ปิดเมือง” ก็ใช้เวลา 6 สัปดาห์ก็ทำให้ตัวเลขนิ่ง
“เราจึงต้องเตรียมตัวเพื่อทำอย่างนี้...และต้องทำให้ดีด้วย และหากเราทำอย่างนั้นสัก 20 วัน เราก็จะเริ่มให้ตัวเลข (คนป่วย) เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ และนั่นหมายความว่าเรากำลังมาถูกทาง”
บิล เกตส์ ยอมรับว่าผลเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโรคระบาดครั้งนี้สาหัสมาก
เศรษฐกิจสหรัฐไม่เคยเจอกับภัยคุกคามหนักหน่วงขนาดนี้มาก่อน
แต่อภิมหาเศรษฐีคนนี้บอกว่า
“เงินอาจจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาเหมือนเดิม แต่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจนั้นง่ายกว่าการเอาชีวิตคืนฟื้นจากความหายนะ เราจึงต้องยอมรับความเจ็บปวดอย่างยิ่งทางเศรษฐกิจเพื่อลดความเสียหายและเจ็บปวดอันยิ่งใหญ่ของเชื้อโรคและความตาย...”
พิธีกรถามว่า “คุณคิดว่า isolation (การแยกกักตัว) ไปถึงระดับไหนจึงจะเป็นที่ยอมรับได้ของสังคมวันนี้?”
เขาตอบว่า “คุณจะออกไปซื้อข้าวของไหม...ถ้าระหว่างทางที่คุณเดินไปนั้นเต็มไปด้วยกองศพ?”
ขนาดอภิมหาเศรษฐีระดับโลกยังยอมรับว่า เอาเข้าจริงๆ เมื่อจะต้องเลือกระหว่างชีวิตกับเงินแล้ว, ชีวิตย่อมจะสำคัญกว่าเสมอ
เพราะหากมนุษย์ต้องตายกันเป็นล้านๆ แล้ว เงินก็คงไม่มีความหมายอะไรต่อสังคม
วันนี้เมื่ออเมริกากลายเป็น “ศูนย์แพร่โรคระบาด” ของโลก และมีจำนวนผู้ป่วยสูงสุดของโลกโดยที่ยังไม่มีสัญญาณจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะแก้วิกฤติครั้งนี้อย่างไร บิล เกตส์ กับผู้นำเอกชนของสหรัฐก็คงต้องแสดงบทบาทของกลุ่มก้อนทางสังคมที่ต้องกดดันให้ฝ่ายการเมืองต้องทำอะไรที่เด็ดขาดและชัดเจนขึ้นอย่างรวดเร็วฉับพลันแน่นอน
คำขวัญของทรัมป์ที่ว่า America First กลับมาหลอกหลอนเขา
เพราะอเมริกา first จริง...ด้วยจำนวนคนป่วยด้วยโรคระบาดที่กำลังทำลายล้างความมั่งคั่งและมั่นคงของมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกอย่างน่ากลัวยิ่ง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |