4 ชาร์ตนี้คือข้อมูลและแนวโน้ม ที่จะกำหนดทางเลือกให้รัฐบาลไทยว่าจะต้องตัดสินใจเดินเส้นทางไหน เลือกระหว่างที่ทำอยู่ปัจจุบัน (จากเบาไปหาหนัก) หรือ Lockdown ประเทศอย่างจริงจังเพื่อสกัดไม่ให้ไวรัส Covid-19 แพร่กระจายรุนแรงหนักหน่วงไปกว่านี้
กราฟแสดงเส้นไต่ขึ้นอย่างชันของอเมริกากับที่ "เบนออกข้าง" ของจีนอาจเป็นข้อมูลช่วยในการกำหนดเส้นทางของไทยในไม่กี่วันข้างหน้านี้
อีกชาร์ตหนึ่งของคณะแพทย์ไทยที่ทำนาย "แนวโน้มจำนวนผู้ป่วยและจำนวนคาดการณ์" จาก 25 มีนาคมถึง 15 เมษายนปีนี้ ใน 3 กรณี
กรณีที่หนึ่ง หากไม่มีมาตรการป้องกัน...จะมีผู้ป่วยสะสม 25,225 คน
กรณีที่สอง Social Distancing 50% จะมีผู้ป่วยสะสม 17,635
กรณีที่สาม Social Distancing 80% จะมีผู้ป่วยสะสม 7,745
อีกสองชาร์ตสะท้อนถึงทิศทางของอาเซียนกับไทย...และแนวโน้มการไต่ขึ้นของจำนวนผู้ป่วยของไทยเองถึงวันศุกร์ที่ผ่านมา
ในฐานะผู้มีอำนาจเด็ดขาดภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินขณะนี้ นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชาต้องตัดสินใจว่าจะใช้ "ยาแรง" ขนาดไหนเพื่อให้ประเทศชาติรอดจากความเสียหายในระดับต่างๆ ตามที่นำเสนอโดยทีมงานรอบตัวท่าน ทั้งในคณะรัฐมนตรีและศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.
ดูระดับโลกจะเห็นภาพชัดว่ายุทธศาสตร์ของจีนกับของสหรัฐฯ และอิตาลีไปกันคนละทาง
ดูระดับอาเซียนไทยเราอยู่ในเส้นโค้งใกล้เคียงกับมาเลเซีย ขณะที่สิงคโปร์วิ่งไปอีกแนวทางหนึ่ง
ดูจากสถิติวันต่อวันของประเทศต่างๆ น่าจะเห็นภาพว่าถ้าเรา "ค่อยทำค่อยไป" แนวโน้มจะเป็นแบบสหรัฐฯ และยุโรป
หากเราจะเข้มข้นจริงจัง ต้องเดินแบบจีน, สิงคโปร์ และเกาหลีใต้
ยุทธศาสตร์ที่ว่านี้คือ Flatten the Curve หรือบีบให้เส้นโค้งในกราฟเบนออกไปทางข้างหรือให้ ไแบน" ลงไป
การตัดสินใจของรัฐบาลไทยย่อมอยู่กับปัจจัยหลักที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ เช่น
1.ศักยภาพของทรัพยากรทางการแพทย์ว่าจะรับได้แค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์, อุปกรณ์, งบประมาณ
นั่นหมายความว่าจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลว่ามีหมอ, พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เพียงพอสำหรับตั้งรับที่ตัวเลขผู้ป่วยแค่ไหน
เพราะแม้จะมีเตียงจำนวนหนึ่งหรืองบประมาณเพิ่มขึ้น หากบุคลากรรับได้ในจำนวนหนึ่งเท่านั้น ก็จะต้องเดินหน้า "กดเส้นกราฟให้แบน" ลงอย่างจริงจัง
ลงท้ายอยู่ที่ "คน" และคุณภาพในการตัดสินใจของ "ผู้นำ"
หากเราไม่เอาจริง อาจเจอกับสถานการณ์แบบเดียวกับอิตาลีและสเปน ที่ถึงจุดหนึ่งหมอต้องตัดสินใจว่าจะเลือกรักษาเฉพาะคนไข้ประเภทไหน และอาจต้อง "ทิ้ง" คนกลุ่มไหน
2.หากจะ "ปิดเมือง" หรือ "ปิดประเทศ" อย่างจริงจัง ต้องมีแผน Logistics ที่ทดสอบแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการแจกจ่ายอาหารให้แก่ประชาชนตามชุมชนต่างๆ...รวมไปถึงปฏิบัติการฉุกเฉินสำหรับให้คนป่วยหาหมอหรือขอความช่วยเหลือเร่งด่วน
ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก่อน จึงจำเป็นต้องระดมสรรพกำลังเพื่อให้การ Lockdown เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
3.พร้อมๆ กับการ Lockdown เพื่อควบคุมอัตราคนติดเชื้อให้อยู่ใน "ระดับที่ควบคุมได้" จะต้องมีฝ่ายปฏิบัติการด้านเศรษฐกิจที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย หาเช้ากินค่ำ ที่จะต้องมีปัจจัยสี่เพื่อการดำรงชีพให้ผ่านพ้นช่วงระหว่าง "ปิดประเทศ" และหลังจากนั้นอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปีหรือนานกว่านั้น
4.ต้องมีทีมงานเฉพาะด้านดูแลปัญหาเศรษฐกิจภาพรวมและเฉพาะด้าน เพื่อการประเมินสถานการณ์ด้านปากท้องและการฟื้นฟูกิจกรรมเศรษฐกิจตลอดเวลา
นี่เป็นเพียงเรื่องหลักๆ ที่ต้องทำเพื่อให้การ Lockdown 90-100% สามารถตอบโจทย์ที่กำลังต้องการให้ผู้นำตัดสินใจอย่างเร่งด่วนและชัดเจนจากนี้ไป
ไม่มีสูตรไหนรับรองผล 100% แต่การรีรอ ค่อยเป็นค่อยไปอาจยิ่งทำให้โอกาสสำเร็จกลายเป็นความล้มเหลวที่น่าหวาดหวั่นก็ได้
การบริหารความ "ไม่แน่นอน" อันตรายกว่าการบริการ "ความเสี่ยง" แน่นอน.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |