ไปๆ-มาๆ...เชื้อโคโรนาไวรัส อย่าง Covid-19 แม้อาจไม่ถึงขั้น ไวรัสล้างโลก แต่เผลอๆ...อาจกลายเป็น ไวรัสเปลี่ยนโลก เอาเลยก็ไม่แน่!!! โดยเฉพาะตราบใดถ้ายังไม่มีไผ ไม่มีใครคนหนึ่ง-คนใด ชาติหนึ่ง-ชาติใด ประดิษฐ์ คิดค้น วัคซีน ขึ้นมาระงับยับยั้งได้ทันท่วงที หรือถ้าหากต้องทอดยาวไปในระดับ 12 เดือน 18 เดือน หรือต้องลากยาวว์ว์ว์ไปเป็นปีๆ...
-------------------------------------------------
เพราะนอกจากตัวไวรัสมันจะแพร่ระบาดด้วยตัวของมันเองแล้ว มันยังเป็นตัวฉุดกระชากลากถูให้ ภาวะเศรษฐกิจ ของแต่ละประเทศ มีอันต้องเหนื่อยหอบ ทั้งไอ ทั้งจาม ระบบทางเดินหายใจติดๆ ขัดๆ ชนิดบางประเทศ...อาจถึงขั้นเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงเอาง่ายๆ ทั้งๆ ที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว หรือกระทั่งเป็น หัวขบวนทางเศรษฐกิจ ก็เถอะ อย่างเช่นคุณพ่ออเมริกาเป็นต้น เพราะโดยจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อ ที่มาแรง แซงโค้ง นำหน้าทุกๆ ประเทศ กลายเป็น ผู้นำโรค หรือ จ้าวโรค ไปแล้วในขณะนี้ โอกาสที่จะหันมาแก้ไข เยียวยา ภาวะเศรษฐกิจ ด้วยการเลิกชัตดาวน์ ล็อกดาวน์ เลิกกำหนดระยะห่างโซเชียล ดิสแทนซ่ง ดิสแทนซิ่ง ฯลฯ อย่างที่ผู้บริหารประเทศ ปรารถนาและต้องการ ยังไงๆ...มันคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ...
-----------------------------------------------
คือถ้าเลิกชัตดาวน์ ล็อกดาวน์ เลิกกำหนดระยะห่างทางสังคม ก็เท่ากับเป็นการสนับสนุน ส่งเสริม ให้ Covid-19 ท่านยังมีช่องทางและโอกาส ในการแพร่เชื้อ ให้หนักเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าหากยังคงล็อกดาวน์ ชัตดาวน์ ยังห้ามรวมหัว รวมตัว เกินกว่า 10 คนขึ้นไป ตัวเลข อัตราการว่างงาน ช่วงไตรมาส 2 ที่พุ่งขึ้นไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ตามการประมาณการของผู้บริหารธนาคารกลางสาขาเซนต์หลุยส์ ที่สอดคล้องต้องกันกับองค์กรเอกชน อย่าง JQI (U.S. Private Sector Job Quality Index) ต้องถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงซะยิ่งกว่า การว่างงานช่วง The Great Depression เมื่อครั้งปี ค.ศ.1929 โน่นเลย ที่แม้ถือเป็นอภิมหาวิกฤติทางเศรษฐกิจของอเมริกา (และของโลก) แต่อัตราการว่างงานยังแค่ระดับ 24 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง...
---------------------------------------------
ส่วนตัวเลขการเติบโต GDP นั้นแทบไม่ต้องพูดถึง...ไม่ว่าจะอเมริกา จีน อียู ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไปจนสิงคโปร์ ฯลฯ ต่าง ตกจากหอคอย่น ไปด้วยกันทั้งสิ้น ถ้าว่าตามการประมาณการของ OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) GDP ของโลกทั้งโลก โดยเฉพาะในกลุ่ม G7 ที่มีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของโลก มีการผลิต 65 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตทั้งมวล มีการส่งออก 41 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออกโลก มีสิทธิ์ลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่ง หรือถ้าว่ากันตามการประมาณการของ Bloomberg Economics อาจเหลือ 0 หรือ ซีโร โกรท เอาเลยก็ไม่แน่!!! โดยเฉพาะถ้าหากการระบาดของเชื้อ Covid-19 มันเกิดลากยาวว์ว์ว์ไปเป็นปีๆ โดยไม่มีใครสามารถคิดค้น วัคซีน ขึ้นมาได้ทันท่วงที...
-------------------------------------------
หรือพูดง่ายๆ ว่า...โลกที่เคยยึดมั่น เชื่อมั่น อยู่กับการหาทางทำให้ตัวเลข GDP ของประเทศตัวเองโตๆ ให้มากๆ เข้าไว้ ตามแนวคิดพวก นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ทั้งหลาย มันอาจกลายเป็นโลกที่ต้องหันมาเปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนทิศ เปลี่ยนทาง ไปตามข้อเสนอ ข้อเรียกร้อง ของพวก นักเศรษฐศาสตร์กระแสรอง อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ก็ไม่แน่ เช่น ประเภท แนวคิดเรื่อง เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Ecological Economy) ของนักเศรษฐศาสตร์ชาวโรมาเนีย นิโคลัส จอร์เจสคู-โรเจน (Nicolas Georgescu-Roegen) หรือ เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ (Buddhist Economy) ของนักเศรษฐศาสตร์เยอรมัน อย่าง อี.เอฟ. ชูมัคเกอร์ (Ernst Friedrich Schumacher) หรือ เศรษฐศาสตร์แบบรัฐยืนยงคงที่ (Steady-state Economy) ของนักเศรษฐศาสตร์อเมริกา อย่าง เฮอร์แมน ดาลี (Herman Daly) ฯลฯ ที่ต่างก็พยายามส่งเสียงกู่ก้อง ร้องตะโกน มานานแล้วว่าให้ จำกัดการเติบโต (The Limits to Growth) หรือให้ ลดระดับการเติบโต (Degrowth) หรือให้ เติบโตเท่ากับศูนย์ (Zero Growth) ฯลฯ อะไรประมาณนั้น...
-----------------------------------------
เหตุที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์เหล่านี้...ท่านพยายามกู่ก้อง ร้องตะโกน เรียกร้องให้ใครต่อใคร หรือประเทศใดๆ หันมาเปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางไปในแนวที่ว่า ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าท่านเชื่อของท่านจริงๆ ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจแบบที่อยากให้ GDP โตๆ เข้าไว้ ก็คือ การพัฒนาไปสู่ความฉิบหาย อะไรประมาณนั้น จริง-ไม่จริง...ก็แล้วแต่จะไปนั่งคิด นอนคิด กันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ภายใต้สภาวการณ์แพร่ระบาดอย่างชนิดไม่รู้หมู่ รู้จ่า ไม่เลือกชาติ เลือกภาษา ไม่สนใจว่าใครประชาธิปไตย ใครเผด็จการ ฯลฯ ของเชื้อไวรัส Covid-19 ตัวนี้ ยิ่งใครคิดจะไป กระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ กระตุ้นตัวเลข GDP ให้เงยหน้า อ้าปาก ขึ้นมาได้มั่ง ก็แทบไม่ต่างอะไรไปจากการ กระตุ้นการแพร่เชื้อ ไปโดยปริยาย!!!
---------------------------------------------
เพราะแค่รัฐบาลท่านเกิดความเมตตา สงสาร หรือเพราะต้องการ กระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ให้ล่มจมไปกว่านี้ก็แล้วแต่ ด้วยการป่าวประกาศว่า เราไม่ทิ้งกัน อะไรประมาณนั้น ยอมเฉือนเนื้อ ควักเงินสด นับเป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้าน ออกมาแจกโน่น แจกนี่ ก็เล่นเอา โซเชียล ดิสแทนซิ่ง แทบไม่เหลือเศษซาก ธนาคารแต่ละธนาคารแทบปิดตัวเองไม่ทัน เมื่อบรรดา ผู้บริโภค สวมหน้ากากแห่มายืนออกันหน้าธนาคาร หวังได้เงินห้าพัน หมื่นห้า เอาไปซื้อโน่น ซื้อนี่ ตามอุปสงค์ของใครของมัน เรียกว่า...หวิด ซูเปอร์ สเปรดเดอร์ กันเห็นๆ นี่ถ้า...ลอง ขายไข่ ตามไอเดียบรรเจิดของพรรคพลังประชารัฐด้วยแล้ว ยิ่งราชดำเนิน ยิ่งลุมพินี หนักขึ้นไปใหญ่ ทำไงได้...ในเมื่อทิศทางประเทศ ทิศทางโลก มันเป็นไปในแนวนี้ซะจนเคย แม้ อภิมหานักเศรษฐศาสตร์ ระดับ พระราชา ท่านเคยชี้แนะ ชี้นำ ไว้ไม่ต่างไปจาก นักเศรษฐศาสตร์กระแสรอง ทั้งหลาย ถึงแนวคิดในเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ก็ตาม ที่เหลืออยู่...เลยหนีไม่พ้นต้องหันไปพึ่งบริการ Covid-19 เท่านั้นเอง ถึงสิ่งที่ว่าอาจเป็นจริง-เป็นจัง ขึ้นมาได้มั่ง...
---------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Epictetus (อีกครั้ง)...“Fortify yourself with contentment, for this is an impregnable fortress. - จงสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวท่านด้วยความสันโดษ เพราะนี่...คือป้อมปราการที่ไม่มีผู้ใดจะตีแตก...”
--------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |