คนไทยในสหรัฐเล่าเหตุการณ์รับมือโควิดบกพร่องบ้างชาวบ้านก็ให้กำลังใจไม่เห็นด่ากันเหมือนเมืองไทย


เพิ่มเพื่อน    


27 มี.ค. 63 - ผู้ใช้เฟซบุ๊ Art Srikasem ซึ่งเป็นคนไทยอาศัยอยู่ในรัฐไอดาโฮ ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เล่าถึงสถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโควิด-19  ในสหรัฐ มีเนื้อหาดังนี้
 ภาพที่เห็นคือเมืองเล็กๆ ในหุบเขาแห่งหนึ่ง ที่ผมกลับมาเป็นพลเมืองกะเค้าเป็นรอบที่สองได้ไม่กี่เดือน

พื้นที่ราบระหว่างหุบเขามีถนนเข้าออกเส้นเดียวแห่งนี้มีชื่อว่า Wood River Valley ประกอบด้วยเมืองเล็กๆ สามเมือง เมืองใต้สุดมีประชากรไม่ถึงสองพันห้าร้อยคน เมืองตรงกลางก็คือเมืองในภาพมีคนอาศัยเยอะหน่อยคือประมาณแปดพันคน เหนือขึ้นไปประมาณ 10 ไมล์ มีอีกสี่พันคน

รวมแล้วใน Wood River Valley มีคนรวมกันประมาณหมื่นห้าพันคน พูดง่ายๆ มีคนอยู่พอๆ กับตำบลโพรงมะเดื่อ หรือตำบลทั่วๆ ไปในบ้านเรา คือไม่ได้มากมายอะไร

ด้วยชัยภูมิที่เป็นป่าเขาห่างไกลจากเมืองใหญ่ ไม่มีใครคาดคิดว่าชุมชนสามสี่เมืองเล็กๆ ที่อยู่ในเคาน์ตี้เดียวกันนี้จะกลายเป็น hot spot ของผู้ติดเชื้อ Covid 19

จากที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อคนแรกเมื่อสิบกว่าวันที่ผ่านมา ถึงวันนี้รัฐไอดาโฮมีผู้ป่วยทั้งหมด 50 คน แต่ Wood River Valley ซึ่งมีพื้นที่เล็กนิดเดียวกลับตรวจพบผู้ติดเชื้อถึง 35 คน ที่แย่กว่านั้นก็คือ 14 รายเป็นบุคลากรโรงพยายบาลเล็กๆ แห่งเดียวในพื้นที่ ใน 14 คนเป็นหมออย่างน้อย 2 คน

หนึ่งในหมอที่ป่วยบอกว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่ตลอด ไม่ได้ออกไปไหนเลยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เลยมั่นใจว่าติดเชื้อจากที่นี่แน่นอน แต่ไม่รู้ว่าที่โรงพยาบาลรึเปล่า เพราะแกก็ใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นๆ คือไปตลาด ไปกินข้าวซ้ำๆ ที่ วนไปเวียนมาเหมือนคนอื่น

ผมไม่ได้เกิดที่นี่ เลยไม่รู้มาก่อนว่าพอเกิดเรื่องนี้ เครือข่ายหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุขเขาแบ่งงานกันอย่างไร ทำงานกันแบบไหน พอคนติดเชื้อเริ่มมากขึ้นก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวของหน่วยงานที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะระดับเป็นเมือง ระดับเคาน์ตี้ หรือรัฐ ซึ่งก็ทำได้แค่ออกกฏประมาณ ให้อยู่บ้าน หรือสั่งปิดบางธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ห้ามชุมนุม อะไระมาณนี้

พยายามมองหาหน่วยงานที่เป็นมือเป็นตีน หรือมีเครือข่ายที่สามารถปฏิบัติการในพื้นที่ได้อย่างจริงจังแบบบ้านเรา ก็ไม่เห็นจะมีสักหน่วยงาน คลีนิคหลายแห่งเริ่มปิดตัวไม่รับคนไข้ หรือรับปรึกษาแค่ทางโทรศัพท์

โรงพยาบาลที่มีแห่งเดียวก็ไม่มีศักยภาพในการตรวจหาเชื้อ Covid 19

ในช่วงแรกๆ มีคนป่วยเป็นไข้หวัดเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่มีใครรู้ได้ว่าเป็นหวัดธรรมดา หรือหวัดพิเศษจากจีน

หลายคนพยายามเจรจากับโรงพยาบาลเพราะอยากรู้และกลัวว่าจะติดเชื้อ Covid 19 แต่เกือบทั้งหมดได้รับคำตอบเดียวกันคือ คัดกรองแล้วไม่เข้าข่าย พูดง่ายๆ ก็คือบางคนป่วยจนคลานเข้ามา หมอก็ยังไม่ตรวจให้

ปลายสัปดาห์ที่แล้วโรงพยาบาลแถลงข่าวว่ามีความพร้อมสามารถตรวจหา Covid 19 แบบเป็นเรื่องเป็นราวได้ แต่ก็ต้องปิดเกือบทุกแผนก ยกเว้นแผนกฉุกเฉิน เพราะต้องเอาบุคลากรมาดูแลคลีนิคตรวจโคโรน่า ไวรัส

หลังวันประกาศความพร้อมแค่วันเดียว โรงพยาบาลตรวจเจอผู้ติดเชื้อถึง 12 คน ผู้ติดเชื้อเกือบทุกคนไม่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยสองเหตุผลคือ โรงพยาบาลไม่มีศักยภาพที่รองรับได้ และผู้ป่วยอาการไม่หนัก เลยให้กลับไปกักตัวเองอยู่ที่บ้าน

ก่อนหน้าที่ทางการจะเปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลติดเชื้อถึง 14 คน มีการส่งคนไข้ทั่วไป (ไม่ใช่ผู้ติดเชื้อ Covid 19) ออกไปอยู่ที่โรงพยาบาลอื่นที่มีความพร้อมมากกว่า บุคลากรที่เหลือจะได้โฟกัสเรื่องการติดเชื้อ Covid 19

ถึงวันนี้ก็ยังรองรับคนไข้ที่มาตรวจหาเชื้อ Covid 19 ได้ไม่เต็มที่

ไม่มีใครรู้เลยว่าผู้คนในเมืองนี้ติดเชื้อไปแล้วอีกกี่สิบหรือกี่ร้อยคน

โรงพยาบาลเค้าก็ทำเต็มที่ แต่ด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง ก็เลยได้เท่าที่เห็น ชาวบ้านชาวช่องก็เข้าใจและให้กำลังใจนะ ไม่เห็นมีคนด่าสักคน

จบเรื่องแถวบ้านก่อน ข้ามฟากไปดูที่ รัฐเวสท์เวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นรัฐสุดท้ายของอเมริกาที่ปลอดคนติดเชื้อบ้าง

ในขณะที่พี่ทรัมพ์ พูดชมเชยผู้ว่าการรัฐเวสท์เวอร์จิเนียร์ ว่าทำงานดี เฝ้าระวัง Covid 19 ได้ผล มีผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะให้หน่วยงานสาธารณสุขของเวสท์เวอร์จิเนีย เอาสามีเธอไปตรวจหาเชื้อ Covid 19 ที เพราะเธอมั่นใจว่าสามีป่วยของเธอมีอาการเข้าข่ายติดเชื้อโคโรน่าไวรัสแน่นอน แต่ไม่มีหน่วยงานไหนสนใจหรือช่วยเธอได้เลย เธอติดต่อไปสารพัดที่ บ้างก็แนะนำซ้ำๆ ซากๆ ให้โทรไปเบอร์เดิมที่เคยโทรไปขอความช่วยเหลือหลายครั้งแรก จนในที่สุดก็ยอมตราจให้เธอ แต่กว่าผลจะออกมาก็ใช้เวลาหลายวันมาก สามีเธอกลายเป็นผู้ติดเชื้อ Covid 19 รายแรกของรัฐ เธอกลายเป็นผู้ติดเชื้อรายที่สองของรัฐ ตอนนี้อาการของสองผัวเมียที่ว่าก็ยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไร

สรุปได้ว่าไอ้รัฐที่เค้าว่าปลอดคนติดเชื้อเนี่ย จริงๆ ไม่ได้ปลอดหรอก มันไม่รู้จะทำไงต่างหาก

วันนี้อ่านอีกข่าว ดาราหนังเรื่องอะไรสักอย่าง ออกมาเปิดเผยว่าตัวเองป่วย และสงสัยว่าอาจติดเชื้อ Covid 19 เพราะตัวเองออกงานสัมผัสกับคนเป็นร้อยเป็นพันคน ตอนนี้หมดเงินไปเก้าพันเหรียญแล้ว ยังไม่มีใครบอกได้เลยว่าตัวเองติดเชื้อที่ว่ารึเปล่า

ที่เล่าให้ฟัง ทั้งสามเรื่อง ที่มีทั้งไกล้ตัวและไกลตัวเนี่ย เกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้ว เกิดในประเทศที่มีความก้าวหน้าทุกอย่าง พูดกันตรงๆ ก็คือบ้านเราเทียบไม่ได้

แต่เรื่องการรับมือกับ Covid 19 ถึงจะขาดตกบกพร่องบ้าง แต่ผมว่าบ้านเราทำได้ดีกว่าเยอะนะ

แต่ไม่ว่าจะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร ก็มีพี่น้องเพื่อนฝูงจำนวนไม่น้อยหาเรื่องวกมาด่ารัฐบาล หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ทุกเรื่อง

หรือไม่ก็ชี้หน้าด่าคนไทยกันเอง

ตั้งใจอยู่เงียบๆ มาระยะนึงละ ไม่อยากแส่ทุกเรื่องเพราะรู้ว่าตัวเองโง่ ไม่ทันข่าวสารบ้านเมือง วันนี้ขอหน่อยละกัน

ช่วงเวลาและสถานการณ์ปัจจุบันเราเราควรเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน และให้ความร่วมมือ ช่วยกันลดการแพร่กระจายของโรคร้าย

ถ้าไม่มีอะไรดีๆ จะพูด แนะนำให้หักห้ามใจอยู่เงียบๆ สักพัก

คนเสียสละ คนทำงานจะได้ไม่เสียกำลังใจ

เจริญพร..

...

อัพเดทเล็กๆ ให้เพื่อนๆ ที่สนใจ

ณ เวลานี้ (26 มีนาคม) ซึ่งเป็นวันที่ยอดผู้ป่วยในอเมริกาสูงที่สุดในโลก แถวบ้านยอดตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่มในเคาน์ตี้เพิ่มเป็น 81 คน เสียชีวิต 2 คน ซึ่งนับว่าหนักหนามากสำหรับพื้นที่เล็กๆ ที่มีประชากรเพียง 22,000 คน (วันก่อนผมประมาณผิดไป คิดว่ามีประมาณ 15,000 คน จริงๆ มีสองหมื่นกว่าคน)

ญาติของผู้เสียชีวิตคนหนึ่งบอกว่าคนที่นี่อาจเริ่มติดเชื้อ Covid 19 ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับหลายคนในชุมชนนี้ที่เริ่มเชื่อว่า ผู้คนจำนวนมากติดเชื้อ Covid 19 แล้ว แต่ไม่มีใครบอกได้ว่ามากมายขนาดไหน

ส่วนตัวคิดว่ามาตรการต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้สกัดกั้นการแพร่กระจายของโรค น่าจะไม่ทันการแล้ว แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

เคาน์ตี้เพื่อนบ้าน เและเมืองในพื้นที่ใกล้เคียงเริ่มแสดงความวิตกว่า เชื้อ Covid 19 จะแพร่กระจายจากที่นี่เข้าสู่พื้นที่ของตัวเอง

ส่วนข่าวในพื้นที่อื่นมีโอกาสติดตามบ้าง เช่นผู้ว่าการรัฐบางรัฐเริ่มปวดหัวไม่รู้จะหา PPE ที่ไหน มาให้บุคลาการทางการแพทย์ได้ใช้ เพราะขาดแคลนอย่างหนัก ที่ฟลอริด้า กำลังมีปัญหาชุดตรวจ Covid 19 ไม่เพียงพอ

ได้มีโอกาสดูข่าวทหารระดับสูงคนหนึ่งของกองทัพบกอเมริกัน ให้สัมภาษณ์เรื่องความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือเรื่องการสร้างโรงพยาบาลสนาม นี่ถ้าอยู่ประเทศไทยคงโดนด่าอีกว่า รออะไรอยู่ ทำไมไม่สร้างตั้งแต่เดือนที่แล้ว

แค่นี้ละกัน เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายท่านคงติดตามข่าวคราวมากกว่าผม

สรุปว่าที่ไหนก็มีปัญหาเหมือนกัน ใครที่ชอบเปรียบเทียบว่าทำไม่ไม่ทำแบบประเทศโน้น ประเทศนี้ ลองกลับไปมองมุมมืดๆ ของประเทศนั้นๆ ดูบ้างก็ได้ คือมีปัญหาทุกแหละครับ แม้แต่ประเทศจีนเองที่ชมกันนักหนา ก็เริ่มด้วยการปิดข่าว คุณหมอท่านหนึ่งพยายามออกมาเตือนเรื่องนี้ กลับถูกตำรวจพยายามยัดข้อหาแพร่ข่าวลือ และก่อความไม่สงบ คาดว่าหลายคนจำไม่ได้แล้ว

ก่อนจีนจะชนะศึก Covid 19 ก็คงลองผิดลองถูกมาหลายเรื่องเหมือนกัน

เก็บเรื่องขั้ว เรื่องข้าง เรื่องความเห็นต่างทางการเมืองไว้ในใจ ทำหน้าที่ของตัวเอง ให้ความร่วมมือ และให้กำลังใจคนทำงานดีกว่าครับ โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์

หันหน้าเข้าหากันดีกว่า เสร็จศึก Covid 19 เมื่อไร ค่อยแบ่งพวกตีกันอีกรอบ


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"