27 มี.ค. 2563 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับ รมว.การคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลัง สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ สมาคมธนาคารไทย และตลาดทุน เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาปัญหาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า ได้เรียกประชุมด่วนทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรองรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ชุดที่ 3 เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่เริ่มหยุดชะงัก ประชาชนส่วนใหญ่ถูกจำกัดให้อยู่ที่บ้านเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่งในส่วนของรัฐบาลต้องพยายามแก้ปัญหาเรื่องโรคระบาดนี้ให้จบโดยเร็วที่สุด เพื่อให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะเศรษฐกิจที่ถูกกระทบนาน ๆ จะยิ่งเสื่อมลง ดังนั้นหากแก้ปัญหาช้าเท่าไหร่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น
สำหรับภาพรวมเบื้องต้นของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่ 3 นั้น จะเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น โดยทำให้เกิดการจ้างงาน เพื่อทำให้เกิดรายได้ หลังจากที่ประชาชนส่วนใหญ่เดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประคับประคองเศรษฐกิจในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าในภาวะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ หยุดนิ่ง โดยชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้จะเน้นให้สอดคล้องกับสภาพความจริงที่เกิดขึ้น โดยน้อมนำโครงการที่เกี่ยวข้องกับแนวพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจชาติ เพื่อให้งบประมาณกระจายสู่ส่วนงานที่เกี่ยวข้องในการนำไปใช้ในกิจกรรมที่สร้างความเข้มแข็งในท้องถิ่นให้มีการผลิต การจ้างงาน การตลาด
“ได้มีการหารือกันว่าถ้าจะอัดมาตรการชุดใหญ่ออกมา ต้องเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับสภาพความจริงที่เกิดขึ้น ให้ถือเอาวิกฤติครั้งนี้มาสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในท้องถิ่น ส่วนงบประมาณที่จะใช้ยังไม่ได้ระบุตัวเลขที่แน่นอน แต่เข้าใจว่าต้องใช้งบก้อนใหญ่พอสมควร ส่วนการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินขึ้นอยู่กับความจำเป็น ระยะเวลา ถ้าต้องทำก็สามารถทำได้เลย ทุกคนเข้าใจ ไม่น่าจะมีอะไร เพราะทางกระทรวงการคลังเตรียมตัวเรื่องนี้มาเป็นเดือน วงเงินอาจจะมากกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งไม่มีปัญหา ฐานะการคลังแข็งแกร่ง ส่วนเรื่องการเกลี่ยงบประมาณปี 2563 ไม่ใช่เรื่องงาน ต้องทำผ่านพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โอนเงินงบประมาณ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย” นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวอีกว่า กรณีที่ ธปท. ปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2563 จะขยายตัวติดลบ 5.3% นั้น ต้องยอมรับว่าวิกฤติครั้งนี้หนัก ไม่เหมือนวิกฤติต้มยำกุ้งที่จีดีพีติดลบ 10% กว่า ตอนนั้นคนที่มีเงินเจ็บตัว คนจนไม่เจ็บตัว เพราะเกษตรดี ท้องถิ่นดี แต่ครั้งนี้ทั้งคนจนและคนรวยเจ็บตัวกันหมด ขอให้ทุกคนรู้ว่าทำอะไรในอนาคตเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ไม่ต้องไปสนใจว่าจีดีพีจะลบอย่างไร เพราะมันลบกันทั้งโลก ส่วนตอนนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ก็ยินดีจะช่วยทั้งโลก เพราะมีปัญหากันทุกคน
นายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง กล่าวว่า การออก พ.ร.ก. กู้เงิน กำลังเตรียมการ วงเงินที่ใช้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้ วัตถุประสงค์ใหญ่คือ ต้องการเข้าไปดูแลขีดความสามารถเศรษฐกิจในพื้นที่จากปัญหาเฉพาะหน้า คือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลกำลังดูแลด้วยการส่งเงินให้ประชาชนโดยตรง ถือเป็นการดูแลผลกระทบเฉพาะหน้า แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปเศรษฐกิจยังต้องมีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะเดินหน้าได้ ถ้าไม่มีการดูแลและปล่อยให้เปลี้ย ก็จะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อไปได้
“เรื่องการกู้เงิน ในความเห็นผม ทำได้ แต่ขอให้รอเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ชัดเจน ก็จะได้เห็นตัวเลข และจะได้เห็นว่าจะเอาเงินตรงนี้ไปใช้ทำอะไรในช่วงเวลาที่เหมาะสม” นายอุตตม กล่าว
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |