เรียกแขกมาตั้งแต่ช่วงวันอังคารที่ 24 มีนาคม ถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ของรัฐบาล แต่เมื่อถึงเวลา 14.40 น. เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย กลับเรียกว่า “ไม่มีอะไรในกอไผ่” เลย กลับกลายเป็นการแถลงถึงความชอบธรรมในการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่จะใช้บังคับในวันที่ 26 มี.ค.ไปซะอย่างนั้น...๐ ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้านี้ “พี่ป้อม” ก็ให้สัมภาษณ์ยืนยันในเรื่องนี้แล้วว่าจะใช้มาตรการเบาไปหาหนักก่อน แต่หากประชาชนไม่เชื่อและไม่ปฏิบัติตามก็อาจมีมาตรการหนักตามมา งานนี้เราจึงไม่เห็นการประกาศเคอร์ฟิวอย่างที่บรรดาฮาร์ดคอร์ทั้งหลายเฝ้าถวิลหา แต่ก็กลับมี “เฟกนิวส์” ออกมาจนได้ แหม! ต้องเรียกว่าลองของ “ผู้อำนวยการ ศอฉ.” ที่ชื่อ “ลุงตู่” จริงๆ เพราะ ในการแถลงการณ์ดังกล่าวตอนหนึ่งที่ดูเหมือนจะดูดุดันเข้มแข็งก็คือการเสนอข่าวบิดเบือน การแชร์ข่าวปลอม รวมถึงพวกฉวยโอกาสซ้ำเติมที่ประกาศว่าจะลงโทษขั้นเด็ดขาดไม่ปรานีกันเลยทีเดียว...๐
ปัญหาคือจะทำจริงจังมากน้อยเพียงใด เพราะต้องไม่ลืมว่าที่ผ่านมาข่าวปลอมในยุค “โควิด-19” นั้นมีมากยิ่งกว่ายุคไม่มี “ไวรัสนรก” เสียด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะประชาชนอยู่ในภาวะตระหนก จึงพร้อมจะเทใจเชื่ออยู่เต็มประตูก็เป็นได้ ดูได้จากการที่ประชาชนแห่ไปซื้อ ไปกักตุนข้าวสารอาหารแห้งทั้งที่ประเทศไทยเป็น “อู่ข้าวอู่น้ำ” เป็นครัวของโลก ที่ไม่ว่าจะเกิดวิกฤติรุนแรงเพียงใด เรื่องของกินของใช้นั้นไม่มีทางขาดแคลนแน่ แต่ก็ ยังมีคนจำนวนไม่น้อย ซ้ำยังเป็นผู้มีอันจะกินและมีการศึกษาที่แห่กันไปด้วย...๐
ยิ่งได้ดูการทำงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่นอกจากเติม “เอส” อย่างเดียวที่เป็นผลงานจับต้องได้ก็แทบไม่พบอะไรเลย ยิ่งเฟกนิวส์ 2 หนุ่มไทยที่โพสต์เรื่องกลับจากสเปนแล้วไม่ผ่านการตรวจเข้มที่สนามบินจนสร้างความปั่นป่วนไปทั่ว เพราะ มีบิ๊กนักการเมืองแชร์และโพสต์เพื่อฉวยจังหวะด่ารัฐบาลก็ไม่เห็นมีการดำเนินการอะไรทั้งที่เป็นนำข้อมูลอันเป็นเท็จ แบบปฏิเสธไม่ได้เลย...๐
ต่อมาในช่วงเย็นๆ ก็ได้มีการเผยแพร่ข้อกำหนดออกมาตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (ฉบับที่ 1) ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 26 มี.ค. ซึ่งมีทั้งสิ้น 16 ข้อ ที่ต้องบอกว่า เป็น “ซอฟต์เพาเวอร์” หรือลองเชิงก่อน แต่หากยังดื้อยังรั้นก็อาจได้เห็น “เคอร์ฟิว” ในระยะไม่ไกล เท่าใดนัก...๐
ที่น่าสนใจคือ “ข้อ 8 มาตรการพึงปฏิบัติสำหรับบุคคลบางประเภท” ที่กำหนดห้ามผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ต้องอยู่ในเคหสถาน หรือบริเวณสถานที่พำนักของตน ซึ่งใน “รัฐนาวาลุงตู่” นี้มีถึง 7 คนที่แก่ อายุอานามในระดับนี้ ไม่ว่าจะเป็น “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”, “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”, “ดอน ปรมัตถ์วินัย”, “ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล”, “ถาวร เสนเนียม”, “ประภัตร โพธสุธน” และ “คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช” จะถือว่าเข้าข่ายต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้หรือไม่...๐
อีกข่าวที่เรียกว่าสร้างความฮือฮาเรียกว่า “หัวสี” อาจขึ้นเป็นหัวไม้ได้ คือ การเลื่อนการออกหวยจากในงวดวันที่ 1 เม.ย. ไปออกวันที่ 2 พ.ค. เป็นครั้งแรกของการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลเลย แล้วที่ยังต้องลุ้นตุ๊มๆ ต่อมๆ อีกคือ อาจจะเลื่อนอีกก็ได้หากสถานการณ์โรคโควิด-19 ยังไม่ทุเลาเบาบางลง...๐
ใน “วิกฤติ” มักมีโอกาสเสมอ ซึ่งงานนี้ต้องปรบมือให้ “สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” ส.ส.ศรีสะเกษ พร้อมผองเพื่อนร่วมพรรคที่แถลงถึงแคมเปญ “ตลาดนัดออนไลน์ #ปิดเมืองก็ขายได้” เพราะช่วงนี้ “ตลาดออนไลน์” คือช่องทางทำมาหากิน เช่นเดียวกับบรรดาแมสเซนเจอร์ต่างๆ และการส่งของที่เรียกว่าแทบไม่มีเวลากระดิกตัวกันเลยทีเดียว เขาถึงบอกว่าจะดูว่าใครเก่งจริงก็คงต้องมองช่วงวิกฤตินั้นแล...๐
ไม่ใช่มีเพียง “การขนส่ง” เท่านั้นที่เป็นช่วงนาทีทอง บรรดาอุตสาหกรรมอาหารและสิ่งทอ ที่จะใช้ในการผลิตหน้ากากผ้า ไล่ตั้งแต่ยางยืด จนถึงผ้าสาลู ผ้ามัสลิน และผ้าคอนตอน เรียกว่าประกาศลงขายทั้งในโลกออนไลน์หรือหน้าร้านเมื่อใดก็หมดเมื่อนั้น ไม่ต่างจากหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์อย่างไรอย่างนั้น ในขณะที่ “สื่อทีวีดิจิทัล” ก็เป็นหนทางทำเงินทำกล่องเช่นกัน เพราะอย่าลืมว่ากักตัว 14 วัน หรือ 21 วัน อยู่บ้านถ้าช่องทีวียอมลงทุนซื้อซีรีส์ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งหรือกิมจิ หรือแดนมังกรแบบไม่เก่าล้าสมัยออกมากวาดคนดูช่วงนี้ บอกได้คำเดียวว่า “เรตติ้ง” กระฉูดแน่นอน...๐
...ท.ศักดิ์
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |