นักลงทุนห่วงวิกฤติ หุ้นดิ่งหนัก102จุด หยุดซื้อขายรอบ3


เพิ่มเพื่อน    

  ไวรัสโควิด-19 ฉุดหุ้นไทยดิ่งหนัก 102 จุด ประกาศเซอร์กิตเบรกเกอร์ครั้งที่ 3 ในรอบเดือนมีนาคม หลังนักลงทุนห่วงสถานการณ์แพร่เชื้อ ประเดิมครั้งแรกหลัง ตลท.ปรับเกณฑ์ใหม่ ยันทุกระบบทำงานได้ตามปกติ 

    เมื่อวันจันทร์ รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันที่ 23 มีนาคม 2563 เคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยในช่วงบ่ายดัชนีปรับลดลงถึง 90.19 จุด หรือ 8.00% อยู่ที่ 1,037.05 จุด ส่งผลให้ ตลท.ประกาศหยุดการซื้อขายเป็นการชั่วคราว (เซอร์กิตเบรกเกอร์) ครั้งที่ 1 ระยะเวลา 30 นาที ตั้งแต่เวลา 15.25-15.55 น. เป็นครั้งที่ 3 ในรอบเดือนมีนาคม 2563 และเป็นครั้งแรกหลังจาก ตลท.ประกาศปรับเกณฑ์เซอร์กิตเบรกเกอร์ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม ถึง 30 มิถุนายน 2563 หากดัชนีร่วงแรง 8% หยุดพักการซื้อขาย 30 นาที จากเดิมที่ดัชนีลดลง 10% 
    อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดการซื้ออีกครั้งยังปรับลดลงต่อเนื่องต่ำสุด 104.41 จุด หรือ 9.27% อยู่ที่ 1,022.83 จุด และปิดตลาดที่ 1,024.46 จุด ลดลง 102.78 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 9.12% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 59,677.79 ล้านบาท ส่วนดัชนีสูงสุดอยู่ที่ 1,065.67 จุด โดยนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์แพร่เชื้อของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ถึงแม้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2563 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีประชุมนัดพิเศษปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 0.75% รวมถึงออกมาตรการเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ในหลายๆ ด้านก็ตาม 
    นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า กลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีมาตรการรองรับผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อย่างรอบคอบ และให้ความมั่นใจว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอไอ (mai) และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) บริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด (TCH) และบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) จะเปิดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ได้อย่างต่อเนื่องภายใต้ภาวการณ์ต่างๆ
    นายภากรระบุว่า ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อเนื่องตลอดเวลาในช่วงที่ผ่านมา พร้อมทั้งทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลและผู้ประกอบการในตลาดทุน อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมแผนดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง (Business Continuity Plan) และมั่นใจว่าระบบซื้อขาย ระบบชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ ระบบงานหลักและระบบสนับสนุนต่างๆ สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องตามปกติ รวมทั้งมีนโยบายดูแลพนักงานทั้งสุขภาพและความปลอดภัย และรับผิดชอบต่อสังคม โดยมีการจัดแบ่งพนักงานให้ปฏิบัติงานที่บ้าน (work-from-home) โดยมีระบบสนับสนุนการทำงานที่บ้านอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเป็นการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) ลดความเสี่ยงและป้องกันการติดเชื้อ เพื่อให้การดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพสูงสุดเสมือนช่วงเวลาปกติ
    ด้านนายธนากร มนูญผล ผู้บริหารที่ปรึกษาการลงทุนและผลิตภัณฑ์ธนบดีธนกิจ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนทั่วโลก ซึ่งนับเป็นวิกฤตการณ์ครั้งประวัติศาสตร์เลยทีเดียว หากเทียบกลับไปเมื่อปีวิกฤติทางการเงินในประเทศสหรัฐ (Subprime Mortgage Crisis) ทำให้ช่วงจุดต่ำสุด 6 เดือนของตลาดหุ้นสหรัฐมีวันที่ตลาดปรับตัวลดลงมากกว่า 9% เพียง 1 วันเท่านั้น
         นายธนากรกล่าวด้วยว่า ในขณะที่วิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19 เพียง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวแต่ละวันมากกว่า 9% ถึง 3 ครั้ง และนับตั้งแต่ต้นปีปรับตัวลดลงมากกว่า 30% จนต้องใช้มาตรการหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว (Circuit Breaker) ถึง 4 ครั้ง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก รวมไปถึงตลาดตราสารหนี้ น้ำมัน ทองคำ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ออกมามาก เพื่อถือครองเงินสด ซึ่งความผันผวนที่เราเจออยู่นี้ สูงที่สุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
         "ในช่วงก่อนถึงจุดต่ำสุด Pre-Bottom แนะนำถือเงินสด 40-50% หุ้น และตราสารหนี้อย่างละ 15% ทองคำ 10% และ REITs/Infrastructure Fund 10% สำหรับโอกาสการลงทุนในช่วงวิกฤตินี้ ดัชนี SET Index ปัจจุบันระดับประมาณ 1,100 จุด เรามองแนวรับสำคัญที่ระดับ 860-940 จุด ดังนั้นเราเข้าใกล้จุดการลงทุนเพื่อระยะยาว สอดคล้องกับทางรัฐบาลมีการเพิ่มกองทุน SSF พิเศษ ซึ่งการลงทุนในช่วงนี้ถือว่ามีโอกาสได้ต้นทุนที่ดีที่สุดในรอบ 8 ปี ในส่วนหุ้นกู้ยังมีความน่าสนใจ แต่อาจจะเจอความเสี่ยงที่ดอกเบี้ยอาจจะกลับมาเป็นขาขึ้นหากจบช่วงดอกเบี้ยระดับต่ำอย่างยาวนาน จึงแนะนำคัดเลือก เฉพาะบริษัทที่มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง ไม่ได้พึ่งพาการ Roll Over ของการออกหุ้นกู้มากนัก"  นายธนากรกล่าว  
         นายธนากรกล่าวด้วยว่า ทั้งนี้เมื่อพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว คือหลังไตรมาสที่สอง เราเชื่อว่าจะค่อยๆ เข้าสู่ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ผลจากการกระตุ้นการคลังที่ตามมาด้วย Supply หนี้จะสูงขึ้นจากหลายประเทศจะดันให้ อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และอาจจะได้เห็นเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ช่วงนี้เราจะมองเป็นโอกาสเข้าลงทุนหุ้นอีกครั้ง ซึ่งเรามองการกระจายระดับ 40-50% ของพอร์ตการลงทุนเลยทีเดียว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"