ก่อนจะ ‘ปิดประเทศ’ ต้องพิจารณาอะไร?


เพิ่มเพื่อน    

            การถกแถลงเรื่อง "ทางเลือกของประเทศไทย" ในการจัดการกับ Covid-19 ว่าควรจะต้อง "ปิดเมือง" หรือ "ปิดประเทศ" หรือไม่ ควรจะเป็นการรับฟังจากผู้รู้และผู้มีประสบการณ์ทุกๆ ฝ่าย

                เพราะนี่เป็นวิกฤติของโลก...และประเทศไทยเราก็ตกเป็นหนึ่งใน "เหยื่อ" ของภัยคุกคามครั้งนี้

                ผมติดตามรับฟังแนวคิดของคุณหมอหลายท่านเพื่อพยายามทำความเข้าใจกับข้อดีและข้อเสียของ  "ทางออกที่ดีที่สุด" สำหรับประเทศไทย

                นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ บอกว่าแต่ละประเทศต้องเลือกวิธีการที่เหมาะกับของตัวเอง

                ท่านบอกว่าอิตาลีประกาศปิดประเทศแล้ว แต่ยอดผู้ติดเชื้อก็ยังเพิ่มขึ้น

                ท่านบอกว่า "ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าการปิดประเทศแล้วจะทำให้ผู้ป่วยลดลง ในทางตรงกันข้าม อาจจะมีความเชื่อมุมกลับว่าเมื่อมีการปิดประเทศ ประชาชนอาจคิดว่าปลอดภัยแล้ว อาจระมัดระวังตัวเองน้อยลง ซึ่งเป็นข้อเสียในมุมกลับ"

                ความจริงการที่ไทยเพิ่งประกาศมาตรการที่เข้มข้นว่าใครที่จะเข้าประเทศต้องมีใบรับรองแพทย์ว่าไม่ติดเชื้อไวรัสตัวนี้ ที่มีอายุภายใน 72 ชั่วโมง พร้อมทั้งจะต้องมีประกันสุขภาพที่มีวงเงินไม่ต่ำกว่า  100,000 เหรียญและใบรับรองจากสถานทูตของตนเองนั้น ถือได้ว่าเป็นการปิดประเทศจากคนข้างนอกทีเดียว

                อย่างนี้ไม่ใช่ Lockdown

                แต่เป็นการ Lockout!

                ผมอ่าน "จดหมายเปิดผนึก" ของนายแพทย์ คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาในเว็บไซต์ "สำนักข่าวอิศรา" ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

                บทเรียนจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ในประเด็นนี้ก็น่าสนใจ

                คุณหมอเขียนว่า

                “เรียนท่านอาจารย์ทุกท่านและท่านรัฐมนตรี

                ผมเพิ่งประชุมทางไกลกับองค์การอนามัยโลกมาเมื่อคืน เขาเชิญ ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี มาเล่าประสบการณ์หลังผ่านวิกฤติโคโรนา โดยสรุป ทั้งสี่แห่งใช้มาตรการสายกลาง คือไปหยุดที่ข้อสองไม่ไปถึงสาม

                1.การค้นหาผู้ป่วยและแยกรักษา ติดตามกลุ่มเสี่ยงสูงที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยเพื่อแยกดูอาการ มีการติดตามรายวัน เมื่อทำแล้วเห็นว่าไม่พอก็เพิ่มข้อสอง

                2.Social Distancing และงดการชุมนุมใหญ่ๆ หรือการรวมตัวใหญ่ๆ ที่การสอบสวนพบว่ามีการระบาด สิงคโปร์ไม่ปิดโรงเรียนเพราะไม่พบมีการระบาด และมีความเห็นสอดคล้องว่าการปิดอาจทำให้เยาวชนไปเจอกันที่อื่น ให้ความรู้ความเข้าใจแบบพอดี หากกลัวมากมีปัญหา

                ที่เกาหลีมีคนฆ่าตัวตายเพราะสื่อประณามว่ากิจกรรมทางศาสนาที่คุณไปร่วมเป็นต้นเหตุ คุณไม่รับผิดชอบต่อสังคม...แต่ภาคธุรกิจเกาหลีเข้ามาช่วยเทคโนโลยีการตรวจ การติดตาม ที่ญี่ปุ่นมีการประกาศภาวะฉุกเฉินเฉพาะที่ฮอกไกโด เพื่อให้ใช้กลไกรัฐอย่างเต็มที่

                ทั้งสี่แห่งกลับสู่ภาวะปกติ

                แต่หากทำหนึ่งและสองแล้วยังคุมไม่ได้ก็จะเพิ่มข้อสาม

                3.จำกัดการเดินทางให้ทุกคนอยู่ในบ้าน หยุดทุกกิจการ ห้ามการเดินทางออกนอกเขต

                ทั้งสี่แห่งไม่ต้องใช้

                ขั้นที่สามนี้ที่เรียกกันติดปากว่า Lockdown (ปิดเมือง ปิดประเทศ) แต่ประชาชนบางแห่งก็สมัครใจเองเพราะความกังวล

                จีนแผ่นดินใหญ่ใช้ข้อสามเพราะมาถึงจุดที่เอาไม่อยู่จริงๆ ดังเช่นที่อู่ฮั่น

                องค์การอนามัยโลกกำลังประมวลและให้แต่ละประเทศเข้าใจและเลือกผสมผสาน

                ผมเคารพและเข้าใจเจตนาของอาจารย์หลายท่านที่คิดว่าเราต้องกระโดดไปสามเลย ท่านเหล่านี้เป็นคนที่มีส่วนสำคัญนำเราผ่านไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่และอีกหลายวิกฤติ ท่านเกรงว่าเราจะรับมือไม่ทัน นับเป็นความปรารถนาที่ดีและน่ารับฟัง

                คำถามสำคัญคือสถานการณ์ของเราใกล้เคียงจีนแผ่นดินใหญ่ อิตาลี หรือยุโรปหรือยัง

                ผมไม่มีโอกาสเห็นข้อมูลทั้งหมด ได้แต่ติดตามและสอบถามน้องๆ ระบาดวิทยาที่กรม กองและจังหวัด คนเหล่านี้ทำงานไม่ได้หลับไม่ได้นอน คนเหล่านี้เป็นมืออาชีพ ที่ไม่ยอมบิดข้อมูลเพื่อเอาใจใคร  ถูกฝึกให้ควบคุมโรคระบาดโดยเฉพาะ ได้ทำ model ต่างๆ ทำนายว่าจะเป็นอย่างไร

                หลังจากสดับตรับฟัง ผมขอสรุปโดยส่วนตัวว่า เรากำลังตรงกับระยะที่เริ่มการมี community spreading (เดิมอาจเรียกระยะสาม) เฉพาะบางที่ ไม่ใช่ทั้งประเทศ จังหวัดเหล่านี้เช่น กทม. และ ปริมณฑล อาจมีอีกบางจังหวัดในภาคใต้ ลักษณะนี้จะใกล้เคียงกับตอนเริ่มต้นของเกาหลี สิงคโปร์ และ ญี่ปุ่น นับว่าเราไวพอ เรายังไม่ถึงขั้นจีนหรืออิตาลีหรือสเปน

                โดยสรุปผมคิดว่ามาตรการที่ประเทศไทยกำลังทำ มีเหตุมีผล มีขั้นตอน มีตัวอย่างอ้างอิง และจะกระทบกระเทือนสังคมที่ยอมรับได้

                หากเราทำแล้วไม่ได้ผลเหมือนเกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เราก็สามารถขยับไปขั้นสุดท้ายได้

                ผมอยากให้รัฐสภาเชิญทุกพรรคการเมืองมาร่วมฝ่าวิกฤติเหมือนไทยเจอสงคราม อยากให้รัฐบาลกางแผนให้ผู้นำศาสนา ผู้นำธุรกิจ ปราชญ์ชาวบ้าน ว่าเราจะเดินตามนี้นะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของท่านประยุทธ์หรือพรรคใดๆ เป็นเรื่องของคนไทย 68 ล้านคน เราจะได้มีพลังมากขึ้น”

                ผมเห็นว่าเป็นแนวทางที่ตรงกับความเป็นจริงวันนี้ที่สุดครับ. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"