วันที่ 22 มี.ค. น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ เผยว่า สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เป็นผลการพิสูจน์ความสามารถในการบริหารราชการของรัฐบาลนี้ จากวลีเอาอยู่ จนมาถึงจุดที่บุคลากรทางสาธารณสุขแถลงว่าเอาไม่อยู่ รัฐบาลต้องทำตามที่คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ล็อคเมือง ปิดสถานศึกษา สถานบันเทิง ร้านค้าเอกชน ตลาด โดยไม่มีมาตรการเยียวยาเอกชน ส่งผลกระทบวงกว้างทั้งสังคมและเศรษฐกิจ จัดเป็นความผิดพลาดล้มเหลวของการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นการตัดสินใจขาดการวางแผนที่ดีประมาทผิดพลาด โดยมีชีวิตประชาชนเป็นเดิมพัน ถ้ารัฐบาลคิดถึงชีวิตประชาชนผู้จ่ายภาษีเลี้ยงดูรัฐบาลเป็นความสำคัญอันดับหนึ่ง จัดการปิดกั้นโรคระบาดครั้งนี้ตั้งแต่ในระยะแรก ไม่ห่วงผลกระทบต่ออำนาจรัฐบาล เนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ เราจะไม่ต้องมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นระดับร้อยละ 30 ขึ้นไปเช่นใน 2-3 วันนี้
การที่ทุกคนรู้ข้อมูลโรคระบาดตั้งแต่เดือนธันวาคม ประชาชนตื่นตัวป้องกันตัวเองโดยการซื้อหน้ากากอนามัยมาใช้ เตรียมยาฆ่าเชื้อ แอลกอฮอล์ และอื่นๆ แต่รัฐบาลกลับไม่สามารถสื่อสารและบริหารจัดการเพื่อให้มีความพร้อมรับมือในสถานการณ์ที่โรคระบาดแพร่กระจาย จากกรณีหน้ากากอนามัยที่ขาดแคลนตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ รัฐบาลควรบริหารจัดการแจกหน้ากากไปยังสถานพยาบาลและส่งไปรษณีย์ไปยังทุกบ้านตามทะเบียนราษฎร์ รัฐบาลไม่ทำแต่กลับไปแจ้งจับคนที่โพสต์ในโซเชียลว่าหาซื้อหน้ากากไม่ได้หน้ากากอนามัยขาดแคลน ว่าเป็นการนำเข้าข้อมูลเป็นเท็จ เป็นวิธีการบริหารประเทศแบบเด็กเล่นขายของ คือต้องการเอาชนะคะคานฝ่ายที่คิดเห็นไม่เหมือนกับสิ่งที่รัฐบาลเชื่อแบบเด็กทะเลาะกันชอบแยกพวกเธอพวกฉัน รวมทั้งมีความเป็นเผด็จการสูง คือต้องการให้ทุกคนมีความคิดเห็นเช่นเดียวกับตนเอง ถ้ารัฐบาลมีความเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้บริหารที่ดีต้องฟังความเห็นได้ทุกฝ่ายแล้วจัดการแก้ปัญหาให้หน้ากากอนามัยไม่ขาดแคลน รวมทั้งสินค้าที่จำเป็นสำหรับการฆ่าเชื้อ สินค้าที่จำเป็นในการป้องกันรักษาโรคระบาด ต้องวางแผนและตระเตรียมไว้ให้เพียงพอ เวลา 3 เดือนสามารถวางแผนเตรียมเวชภัณฑ์ที่จำเป็นให้เท่าจำนวนประชากรทั้งประเทศได้ ไม่ใช่ไปปฏิเสธข้อมูลที่เป็นจริงแต่เป็นผลเสียกับความมั่นคงของรัฐบาล
น.ส.เกศปรียา กล่าวต่อไปว่า กรณีล่าสุดน้ำยาตรวจเชื้อโควิดขาดแคลน มี 3 โรงพยาบาลออกมาแถลงข่าวว่าไม่สามารถตรวจผู้ติดเชื้อได้ คือ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลเปาโลเกษตร โรงพยาบาลพญาไท 2 ซึ่งทำให้การตรวจผู้ติดเชื้อโควิดช้าลง จะส่งผลให้โรคระบาดแพร่กระจายออกไปมากขึ้น การรู้ข้อมูลเรื่องโรคระบาดมาก่อน 3 เดือน ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ต้องสั่งการให้มีการเตรียมน้ำยาตรวจเชื้อโรคระบาดไว้เท่ากับจำนวนประชากรในเมืองที่เสี่ยง คือ เมืองท่องเที่ยวทั้งหมดที่นักท่องเที่ยวชอบมา เพราะรัฐบาลเลือกที่จะเปิดรับนักเดินทางจากทุกชาติโดยไม่ห่วงโรคระบาดและคุณภาพชีวิตประชาชนไทย เนื่องจากรัฐบาลกลัวผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะกระทบอำนาจรัฐบาลให้สั่นคลอน เมื่อเลือกจะต้อนรับเชื้อโรคก็ต้องเตรียมพร้อมยาตรวจเชื้อโรคและยารักษาให้เพียงพอ สิ่งที่รัฐบาลต้องจัดการตอนนี้คือเตรียมยารักษาให้เพียงพอประมาณเท่าจำนวนประชากรในเมืองท่องเที่ยว จะได้สร้างความมั่นใจให้ประชาชนไม่ต้องหวาดกลัวการบริหารจัดการไม่เป็นของรัฐบาล อีกทั้งตนจะได้ไม่ต้องออกมาเตือนรัฐบาลอีกครั้งเมื่อยาที่รักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขาดแคลน
ในสถานการณ์วิกฤตของประเทศปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการสื่อสารของรัฐบาลกับประชาชน สังคมส่วนใหญ่ตัดสินว่า การสื่อสารของรัฐบาลเป็นการสื่อสารที่ล้มเหลว ถึงกับมีการแชร์กันในโซเชียลว่า ไม่แชร์ข่าวจากรัฐไม่อยากเป็นคนกลับกลอก รัฐมนตรีแต่ละคนพูดขัดแย้งกันเอง โฆษกรัฐบาลบอกว่าข่าวที่ส่วนราชการแถลงเป็นข่าวปลอม นายกรัฐมนตรีถามว่า ทำไมประชาชนไม่เชื่อมั่นรัฐบาล ตนขอบอกว่าให้นายกรัฐมนตรีย้อนกลับไปดูเทปสัมภาษณ์ของตัวเองทั้งหมดประมาณ 6 ปีแล้วจะรู้ว่าทำไมประชาชนไม่เชื่อมั่น เพราะการพูดไม่จริง 1-2 ครั้งผู้ฟังให้อภัยถือว่าเป็นความผิดพลาด แต่การพูดหรือรับปากแล้วไม่จริงเกินห้าครั้ง คือบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่สามารถเชื่อมั่นในคำพูดได้
“นายกรัฐมนตรีพูดอะไรรับปากอะไรไว้จำได้หรือไม่ ที่คนทั้งชาติจำได้ คือ จะคืนความสุข ขอเวลาอยู่ไม่นาน แต่หกปีที่คนจนเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านคน คนส่วนใหญ่ของประเทศต้องทนทุกข์กับภาวะความลำบากยากจนเป็นเวลานานมาก จนประชาชนทนไม่ไหวฆ่าตัวตายหนีนายกฯ ไปตั้งมากแล้ว คุณประยุทธ์ทราบไหมคะข้อมูลเหล่านี้” น.ส.เกศปรียา กล่าว
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |