พบผู้ติดเชื้อพุ่งกระโดด 89 ราย กลุ่มสนามมวยมากถึง 32 คน กรมสุขภาพจิตเตือน ปชช.กังวลมากเกินเสียสุขภาพจิต แนะควรกังวลแบบพอดี รู้วิธีการป้องกัน อดีตรมว.สาธารณสุขยืนยันว่าตัวเลขจะขยับขึ้นอีกในไม่กี่วันนี้ อย่าตกใจ และภายใน 7 วันนี้จะมีโอกาสเห็นผู้ติดเชื้อถึงหลักพัน
เมื่อวันที่ 21 มี.ค.63 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงสถานการณ์โรคโควิด-19 ประจำวันที่ 21 มี.ค. ว่าในวันนี้ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 89 ราย ยอดสะสม 411 ราย รักษาอยู่ในโรงพยาบาล 366 ราย กลับบ้านได้แล้ว 44 ราย จำแนกเป็น 2 กลุ่มมีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยหรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จำนวน 51 ราย 1.สนามมวย 32 ราย กระจายอยู่ในพื้นที่ กทม. จ.สมุทรปราการ จ.?อุบลราชธานี จ.นนทบุรี จ.กาญจนบุรี จ.ปทุมธานี จ.ลพบุรี สุราษฎร์ธานี และ จ.สุรินทร์ 2.สถานบันเทิง 2 ราย ในบริเวณในพื้นที่เอกมัย โดยเดินทางไปที่ จ.เชียงราย 3. เข้าร่วมพิธีทางศาสนาในประเทศมาเลเซียจำนวน 6 ราย อยู่ในพื้นที่ปัตตานี ยะลา นราธิวาส 4.มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยที่รายงานมาแล้ว 11 ราย
ในส่วนของรายใหม่ 38 ราย แบ่งเป็น 1.เดินทางจากต่างประเทศจำนวน 12 ราย ไทย 6 ราย ชาวต่างชาติ 6 ราย 2.ทำงานในที่พื้นที่แออัด 6 ราย ประกอบอาชีพค้าขาย พนักงานเสิร์ฟ พนักขาย พนักงานสถานบันเทิงขับรถ 3.รอสอบสวนโรคและประวัติเสี่ยง 20 ราย ขณะนี้ไทยมีผู้ป่วยที่อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังโรคภาพรวมมีจำนวน 9,670 ราย ส่วนผู้ป่วยมีอาการหนักขณะนี้มีเพิ่มเติม 4 ราย รวมเป็น 7 ราย รักษาตัวที่ รพ.ศิริราช, รพ.ราชวิถี และ รพ.เอกชน
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ที่แพรวา ณิชาภัทร ดารานักแสดง ที่ออกมาโพสต์ว่าตนเองติดเชื้อโควิด-19 นั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างสอบสวนประวัติเพิ่มเติม และการรวบรวมข้อมูลเพื่อหาผู้สัมผัสใกล้ชิด ซึ่งผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจะต้องอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร และพูดคุยกัน 5 นาทีขึ้นไป จึงอยากขอให้ผู้ป่วยลิสต์รายชื่อผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงสูงจะสามารถลดความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อต่อได้ เพราะผู้สัมผัสไม่ได้แปลว่าจะได้รับเชื้อทุกคน แต่อย่างไรก็ต้องระวังตนเองไว้ก่อน ได้ติดตามผู้ที่ไปสนามมวยมากกว่าร้อยคน แต่ความเสี่ยงลดลง เพราะจะพ้นระยะฟักตัวแล้ว หากนับจากวันที่ 6 มี.ค. แต่ก็เพื่อความไม่ประมาท ยังคงต้องติดตามกันอยู่
เมื่อถามถึงน้ำยาตรวจเชื้อที่บาง รพ.ออกมายอมรับกำลังขาดแคลน นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ขณะนี้มีประชาชนต้องการที่จะตรวจหาเชื้อโควิด-19 มากขึ้น ทำให้น้ำยาที่มีอยู่ไม่เพียงพอ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเร่งประสานส่งน้ำยาการตรวจเชื้อเพิ่มตามโรงพยาบาลต่างๆ และขอให้ประชาชนที่ยังไม่มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีเสมหะ อย่าเพิ่งมาตรวจจนกว่าจะมีอาการ และเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง
ด้าน นพ.ยงยุทธิ์ วงศ์ภิรมย์ศานต์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวถึงความกังวลของประชาชนในเรื่องการแพร่ระบาดโควิด-19 ว่า ต้องแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ กลุ่มที่กังวลน้อยไป จากการสังเกตพบว่าบางคนไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่นอกบ้าน ไม่ป้องกันตัวเอง อาจจะมีความเสี่ยงติดเชื้อสูง, กลุ่มกังวลมากเกินไป เช่น กลัวว่าตัวเองจะไปแพร่เชื้อให้คนอื่น จึงไปตรวจทั้งๆ ที่ไม่มีอาการ ส่งผลให้โรงพยาบาลหนาแน่น หรือกลัวติดเชื้อจากคนอื่น จึงเกิดพฤติกรรมรังเกียจหรือกักตุนอาหาร ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอาหารหรือกักตุนหน้ากากอนามัย ทั้งๆ ที่สามารถใช้แบบผ้าได้ และซักนำกลับมาใช้ได้อีก ในส่วนนี้หากกังวลมากเกินไปจะทำให้สุขภาพจิตเสีย และส่งผลถึงสุขภาพกายด้วย เพราะภูมิคุ้มกันของเราต่ำลงได้, กลุ่มกังวลพอดีคือคนที่รู้จักวิธีการป้องกันตามคำแนะนำของแพทย์
อีก 7 วันติดเชื้อหลักพัน
ที่สำคัญตอนนี้เราควรรักษาสุขภาพจิตและสุขภาพกายให้ดี ฝึกสมาธิ ฝึกการหายใจ คลายความเครียด ทำจิตใจให้สงบ เพราะหากสุขจิตดี จะทำให้สุขภาพกายดีไปด้วย ตระหนักได้ แต่ไม่ควรตระหนกจนเกินไป
นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังประชุมกับทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ว่า การประชุมวันนี้เพื่อต้องการให้รู้ว่าแต่ละฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยขณะนี้เราพยายามกระชับสถานการณ์ ยืนยันว่าไม่ได้เดินตามหลังสถานการณ์ แต่เราทำล่วงหน้า โดยเราต้องหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้ได้ จึงขอให้ประชาชนช่วยกันรับผิดชอบต่อสังคม รับผิดชอบในส่วนของกลุ่มเสี่ยง ก็ต้องรับผิดชอบด้วยการไปรายงานตัวเพื่อแจ้งให้ทราบ ไม่ใช่ปกปิด ควรให้ความร่วมมือกับแพทย์
สำหรับการแบ่งกลุ่มผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหนักไม่มีโรงพยาบาลไหนรับได้ทั้งหมด จึงต้องจัดให้ไปอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสม เช่น อาคารโรงแรมบางกอกพาเลซ ยกห้องให้จำนวน 350 ห้อง เริ่มวันที่ 23 มี.ค.นี้ เพื่อเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากโรงพยาบาลไปอยู่โรงแรมดังกล่าวจะทำให้ รพ.ศิริราช, รพ.รามาธิบดี และ รพ.จุฬาลงกรณ์สามารถรองรับคนที่มีอาการหนักได้
ในขณะที่ตัวเลขของผู้ติดเชื้อยังไม่ลดลงภายใน 3-4 วันนี้ เพราะเป็นช่วงที่มีการระบาดแล้ว ตัวเลขผู้ติดเชื้อต้องขยับขึ้นแน่นอน แต่อยู่กระบวนการที่รัฐบาลกำลังทำอยู่และความร่วมมือประชาชนให้ตัวเลขลงให้ได้ เราไม่ได้ผลักภาระไปให้ประชาชน แต่ประชาชนจะต้องมีวินัยและรับผิดชอบต่อสังคม
"ยืนยันว่าตัวเลขผู้ติดโควิด-19 จะขยับขึ้นอีกในไม่กี่วันนี้ และอย่าตกใจ และภายใน 7 วันนี้จะมีโอกาสเห็นผู้ติดเชื้อถึงหลักพัน" นพ.ปิยะสกลระบุ
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงกรณีโรงพยาบาลบางแห่งออกประกาศเรื่องขอปิดรับบริการตรวจโควิด-19 ชั่วคราว เนื่องจากน้ำยาที่ใช้ทดสอบมีปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อการให้บริการ ว่าขณะนี้น้ำยาตรวจหาเชื้อโควิด-19 มีเพียงพอ แต่เนื่องจากมีประชาชนต้องการตรวจหาเชื้อจำนวนมาก ทำให้สารสกัด DNA และ RNA จากเลือดที่ใช้ประกอบการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ไม่เพียงพอ
กลุ่มไม่เสี่ยงอย่าเพิ่มภาระ
ที่ผ่านมามีการตรวจหาเชื้อไปแล้วกว่า 30,000 ราย เป็นจำนวนที่มากกว่าหลายประเทศ นอกจากนี้ตั้งข้อสังเกตว่าในกลุ่มของผู้ที่ถูกสอบสวนโรค 10,000 ราย จากการที่กระทรวงสาธารณสุขตรวจหาเชื้อ พบผู้ติดเชื้อ 411 ราย หรือร้อยละ 4 เท่านั้น ส่วนอีก 20,000 ราย ไม่ได้อยู่ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค หรือ PUI แต่เดินทางเข้ามาตรวจด้วยตนเอง ส่วนมากจะใช้บริการตรวจที่โรงพยาบาลเอกชน
จึงอยากฝากไปถึงประชาชนที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงอย่าเพิ่งมาตรวจเพราะเพิ่มภาระให้กับแพทย์ และเพื่อหลีกทางให้กับคนป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการตรวจก่อน โดยสามารถเข้าไปดูเกณฑ์การเข้าข่ายสอบสวนโรคได้ที่แอปพลิเคชันโรงพยาบาลราชวิถีและแอปพลิเคชันกรมควบคุมโรค
สัปดาห์หน้าจะมีการนำเข้าสารสกัดดังกล่าวที่ผ่านมาตรฐานของ อย. และจะได้นำกระจายไปตามพื้นที่เสี่ยงจากเกณฑ์การสอบสวนโรคที่พบผู้เสี่ยงติดเชื้อ เช่น กทม. ที่พบผู้ติดเชื้อสูงสุดร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อ และพื้นที่ภาคใต้ เนื่องจากมีประชาชนไปเข้าร่วมพิธีศาสนาประเทศมาเลเซียและเดินทางกลับมาก่อนจะพบว่าติดเชื้อโควิด-19
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แอดวานซ์อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือเอไอเอส ได้ประกาศแจ้งเหตุการณ์เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า บริษัทได้รับรายงานว่า มีพนักงาน 1 ราย ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ณ อาคารเอไอเอส ทาวเวอร์ 1 ชั้น 19 ได้รับการตรวจและยืนยันจากแพทย์เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 20 มี.ค. ว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยพนักงานดังกล่าวมิได้มีหน้าที่ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการลูกค้าแต่อย่างใด ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฉุกเฉินทันที โดยปิดพื้นที่อาคารเอไอเอส ทาวเวอร์ 1 เพื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อ deep-cleaning ในพื้นที่ดังกล่าวและบริเวณโดยรอบ ด้วยมาตรฐานเดียวกันกับโรงพยาบาลและกระทรวงสาธารณสุข
รวมทั้งได้แจ้งให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในชั้น 19 กักตัวเองอยู่กับบ้าน และเฝ้าสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 21 มี.ค.-3 เม.ย. และให้รายงานอาการของตนเองให้ผู้บังคับบัญชาทราบทุกวัน โดยหากมีอาการที่ต้องสงสัย ให้รีบเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากโรงพยาบาลที่บริษัทติดต่อไว้ให้ หรือแพทย์แผนปัจจุบันชั้น 1 ณ โรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานทันที
ทั้งนี้ เอไอเอสยืนยันว่าบริษัทยังสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตามปกติจากการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยีที่จะให้พนักงานสามารถปฏิบัติงานจากบ้าน หรือ WorkFrom Home รวมถึงมีมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่เข้มงวดตามแนวทางป้องกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |