'ณัฐวุฒิ' เอาใจช่วยรัฐบาลหยุดโควิด-19 แต่ไม่มั่นใจความสามารถมีแค่ไหน?


เพิ่มเพื่อน    

21 มี.ค.63 - เพจเฟซบุ๊ก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เผยแพร่คำกล่าวของ กล่าวของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในรายการ ‘หัวใจไม่หยุด‘เต้น’’ โดยมีเนื้อหาดังนี้

‘ถ้าจะเปรียบเทียบสถานการณ์โควิด-19 เป็นสงคราม นี่คือสงครามครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกที่มนุษย์ทั้งหมดอยู่ข้างเดียวกัน เรากำลังสู้รบกับโรคระบาดที่อาศัยพัฒนาการของสังคมมนุษย์ในการแพร่กระจายขยายตัว แล้วก็ทำลายชีวิตของผู้คนเป็นจำนวนมาก

ในประวัติศาสตร์โรคระบาดเกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย แต่อัตราการขยายตัวจะเป็นระดับเมืองหรืออาณาจักร เช่น ห่าที่อยุธยา กาฬโรคในหลายๆ ประเทศ

แต่โควิด-19 ทันทีที่เริ่มขึ้นที่เมืองอู่ฮั่นในประเทศจีน ก็ขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว 100 กว่าประเทศและอกสั่นขวัญแขวนกันทั้งโลก ผ่านระบบการคมนาคมขนส่ง ซึ่งทำให้โลกเชื่อมต่อกันได้อย่างรวดเร็ว

ในประเทศไทย ผมว่าคนเชื่อนะครับว่ารัฐบาลพยายามอย่างยิ่งที่จะแก้วิกฤตแต่ปัญหาก็คือเขาไม่เชื่อความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาล

มาตรการที่ออกมาขาดความเด็ดขาดชัดเจนกลับไปกลับมา พูดกันคนละอย่าง ไปกันคนละทาง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น

-ตั้งแต่ระบาดช่วงต้นหลายคนเสนอปิดประเทศ

มีข้อเสนอให้ปิดประเทศตั้งแต่ช่วงต้นๆ ความหมายของการปิดประเทศในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าให้หยุดทุกอย่างในประเทศไทยนิ่งอยู่กับที่

แต่หมายเพียงว่าห้ามคนจากต่างประเทศที่สุ่มเสี่ยงเข้ามาในประเทศไทยทุกกรณี หลายชาติเค้าก็ทำกันจะเข้ามาได้เฉพาะการเดินทางทางการทูตหรือส่วนราชการที่สำคัญเท่านั้น

แต่นายกฯ บอกว่าต้องรอสถานการณ์เท่าอู่ฮั่นถึงค่อยพิจารณา ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรอแบบนั้น มิสู้ไปศึกษามาตรการของอู่ฮั่นที่วันนี้ถึงขั้นประกาศว่าไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มได้แล้ว

แล้วเอามาปรับใช้ให้ทันกับเหตุการณ์ในประเทศไทยน่าจะเป็นประโยชน์กว่า เมื่อปัญหามันลุกลามจะกลับมาปิดประเทศตามข้อเรียกร้องรัฐบาลก็คงกลัวเสียหน้า ก็เลยไปมีมาตรการในการจำกัดวิธีการเดินทางเข้าประเทศไทยให้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอีก

สำหรับชาวต่างประเทศที่จะเข้ามาต้องมีใบรับรองแพทย์ ต้องมีกรมธรรม์ประกันชีวิตและเข้ามาแล้วถูกกักอีก 14 วัน ออกมาแบบนี้ก็คงหมายความว่า ใครก็คงไม่อยากมา แต่ไม่เห็นต้องไปทำอะไรให้ยุ่งยากขนาดนั้นนี่ครับ ประกาศให้ชัดไปเลยว่าชาวต่างประเทศห้ามเข้ามา แค่นี้ก็สบายใจกว่า

ใบรับรองแพทย์มันไม่อธิบายอะไรล่ะครับ ใครไปตรวจแล้วพบเชื้อ เดินทางไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าตรวจแล้วไม่พบเชื้อก็ไม่แน่ว่าแพทย์จะกล้าออกใบรับรองให้ เพราะโรคแบบนี้เค้ามีระยะเวลาฟักตัวอย่างที่เห็นๆ กัน

มาตรการปิดรับคนต่างชาติเดินทางเข้ามา คนละเรื่องกับคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งกำลังจะหนีภัยโรคร้ายกลับบ้านนะครับ

สำหรับผมยังยืนยันหลักการเดิมคนไทยทุกคนต้องสามารถเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยได้ ไม่ต้องไปรอใบรับรองแพทย์ ไม่ต้องไปรอหนังสือรับรองจากสถานทูตอะไรล่ะครับ

เพราะมันไม่มีความหมายอย่างที่อธิบายไปแล้ว สำหรับคนไทยที่จะเดินทางเข้ามาก็ต้องมีมาตรการคัดกรองและนำไปกักตัวตามระยะเวลาที่กำหนด ปลอดภัยจริงๆ แล้วส่งกลับบ้าน เชื่อว่าคนที่จะเดินทางกลับมาเขาก็ไม่มีปัญหา

-76พ่อเมืองเรื่องของใครของมัน(นะจ๊ะ)

การควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศ รัฐบาลบอกว่ามีมาตรการสำคัญออกมาแล้ว 6 มาตรการ หลังจากนี้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดไปขับเคลื่อนไปปฏิบัติให้ได้ นายกฯ ขู่ซ้ำด้วยซ้ำไปว่า

ถ้าผู้ว่าฯ ทำไม่ได้ก็ย้ายไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร นี่ล่ะครับปัญหาใหญ่เพราะวิกฤตขนาดนี้มาตรการต่างๆ ควรเป็นไปอย่างเป็นเอกภาพและมีความชัดเจนจากส่วนกลางเป็นคำสั่งของรัฐบาล

ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด 70 กว่าคน 70 กว่าจังหวัด 70 กว่าวิธีคิด 70 กว่าวิธีทำงานไปบริหารจัดการกันเองก็จะเกิดความลักลั่น ไม่เป็นมาตรฐาน แล้วในที่สุดปัญหาก็จะไม่ได้รับการแก้ไข

เราจึงเห็นภาพว่า ขณะที่รัฐบาลประกาศไม่ปิดประเทศแต่บุรีรัมย์กับอุทัยธานีปิดจังหวัดไปก่อนแล้ว เราจึงได้ยินข่าวว่าที่พิษณุโลก ผู้ว่าราชการจังหวัดถามความเห็นของเจ้าของผับบาร์ว่าควรปิดหรือไม่

เมื่อเสียงส่วนใหญ่บอกว่าไม่ปิดก็จะให้เปิดต่อ แล้วยังไม่รู้ว่าจะมีรูปแบบในการจัดการกับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดแตกต่างกันอีกมากมายเท่าไหร่

ถ้าเกิดความผิดพลาดนายกฯ จะให้ผู้ว่าฯ รับผิดชอบแค่ถูกย้าย แล้วไปเปรียบกับสถานการณ์โรคที่อาจจะกระจายขยายตัวไปอีก มันเทียบกันไม่ได้

สำคัญก็คือ ถ้ารัฐบาลบอกว่าในแต่ละจังหวัดให้ผู้ว่าฯ ไปตัดสินใจไปพิจารณาไปบริหารจัดการกันเอง วันนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดกับรัฐบาลในส่วนกลางมีข้อมูลสถานการณ์เท่ากันหรือไม่

นายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัดรู้เรื่องเหตุการณ์โควิด-19 พอๆ กันไหม

เคยมีการประชุมวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ระหว่างนายกรัฐมนตรี ระหว่างหน่วยงานแก้ปัญหาส่วนกลางกับผู้ว่าฯ แต่ละจังหวัดบ้างหรือไม่

ถ้าข้อมูลไม่เท่ากัน อำนาจไม่เท่ากัน ความเข้าใจสถานการณ์ไม่เท่ากัน แล้วนายกฯ จะไปบอกว่า ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรับผิดชอบแก้สถานการณ์ไปตามที่ตัวเองคิดก็แล้วกัน ได้อย่างไร

ผมไม่ได้ปรามาสผู้ว่าราชการจังหวัดนะครับ เคารพในความรู้ความสามารถของทุกคน แต่วิกฤตขนาดนี้ใหญ่เกินกว่าที่จะให้ผู้ว่าฯ แต่ละคนไปจัดการมาตรการในจังหวัดของตัวเอง

โดยขาดความเป็นเอกภาพได้

ปิดชายแดน ปิดบาร์ ปิดผับ สนามม้า สนามมวย สนามวัวชน หรือสนามชนไก่ หรือจะปิดตรงไหน หยุดตรงไหนสั่งทีเดียวทำให้เหมือนกันทั้งประเทศ จะประเมินความสูญเสียว่า ถ้าทำอย่างนี้จะมีมูลค่าเศรษฐกิจเสียหายวันละกี่พันล้านก็ต้องเสียครับ เพื่อที่จะทำให้เราออกจากปัญหาได้เร็วขึ้น

-ไม่ป่วยก็ตายได้!

ในขณะที่ภาพใหญ่ของการแก้ปัญหา ผมเห็นด้วยอย่างถึงที่สุดนะครับว่า การดูแลความปลอดภัยเรื่องชีวิตของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญอันดับ1 คนป่วยต้องรีบหาให้เจอแล้วเอามารักษา

คนยังไม่ป่วยก็ต้องป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายเข้าไปได้ แต่อย่าลืมเด็ดขาดว่าถึงอย่างไรคนไม่ป่วยคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ แล้วคนกลุ่มนี้ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแล

เพราะในสถานการณ์โควิด-19 คนป่วยได้รับผลกระทบ คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงได้รับผลกระทบ แต่คนที่ไม่ป่วยใช้ชีวิตปกติก็ได้รับผลกระทบไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ผู้ประกอบการ ลูกจ้าง ห้างร้านต่างๆ ทั้งหลาย เวลานี้ ถ้าหากไม่มีมาตรการเยียวยาแก้ไข ไม่ต้องติดโรคเขาก็ตายนะครับ ดังนั้น เมื่อรัฐบาลออกมาตรการในการควบคุมโรคร้ายก็ต้องมีมาตรการในการเยียวยาแก้ไขผลกระทบทางเศรษฐกิจออกมาพร้อมๆ กันด้วย

จะไปรอว่าเรื่องโควิดคลี่คลายก่อนแล้วค่อยมาดูเรื่องเศรษฐกิจ ไม่ทันการนะครับ คนป่วยก็ต้องช่วยไม่ให้ตาย คนไม่ป่วยก็อย่าปล่อยให้ตาย มาตรการทางภาษี มาตรการดอกเบี้ย มาตรการที่จะรับภาระหนี้สิน มาตรการที่จะเยียวยาชีวิตของคนระดับล่าง ซึ่งต้องหยุดงานไปเป็นเวลานาน

ต้องออกมาให้ชัด หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ผมยังเคยตกใจที่รัฐมนตรีบางคนพูดว่า เอาเรื่องโรคอันดับหนึ่ง เศรษฐกิจรอไว้ก่อน มันรอไม่ได้นะครับถ้าหากปล่อยไว้โดยรัฐไม่มีมาตรการรองรับ

ไม่มีแนวทางเยียวยาเลย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าถึงที่สุด ระหว่างคนป่วยกับคนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ ยอดผู้เสียชีวิตอันไหนจะมากกว่ากัน

ดังนั้น ในระหว่างที่ป้องกันเชื้อโควิด ก็ต้องป้องกันเตาอั้งโล่ ไม่ให้ผู้ประกอบการ ไม่ให้ลูกจ้าง ไม่ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบเอาไปใช้ฆ่าตัวตายด้วย

ค่าน้ำค่าไฟค่าแก๊สหุงต้มค่าน้ำมันค่าใช้จ่ายพื้นฐานของชีวิต รัฐบาลจะจัดการอย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นคำถามทั้งสิ้น แล้วก็ไม่มีเจตนาที่จะเอาทุกปัญหาไปทับถมอยู่บนบ่ารัฐบาล

แต่รัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ สภาพแบบนี้อีกเรื่องที่สำคัญคือปัญหาอาชญากรรม ลักวิ่งชิงปล้นทั้งหลาย ฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการรับมือด้วย

-ไม่เชื่อว่าไหวแต่ขอเอาใจช่วย

ในวิกฤตแบบนี้บางทีอาจจะพอเห็นโอกาสอยู่บ้างนะครับ เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของไทยส่งออกโคม่า ท่องเที่ยวเกือบจะตายสนิท แต่ภาคการผลิตในวิถีเกษตรกรรมยังเดินหน้าได้

ก็ต้องดูนะครับ นอกจากการผลิตอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของคนในประเทศ ซึ่งมั่นใจว่าพออยู่แล้ว เรายังจะส่งต่อไปยังสถานการณ์ที่ขาดแคลนในตลาดโลกได้อีกหรือไม่ มากน้อยแค่ไหนอย่างไร หรือจะแปรเป็นรูปแบบความร่วมมือเพื่อแลกกับเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ แลกกับเทคโนโลยีในการรักษา แลกกับศักยภาพด้านอื่นของนานาชาติก็อาจจะเป็นไปได้

แน่นอนครับคนป่วยต้องกินยา แต่คนทุกคนต้องกินอาหารและประเทศไทยเป็นคลังอาหารของโลก เรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคิดยังไง ด้วยหัวใจจริงๆ ผมเอาใจช่วยรัฐบาลนะครับ ไม่ใช่เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางอุดมการณ์แต่สถานการณ์แบบนี้ เราเอาใจช่วยให้รัฐบาลแก้ปัญหาให้ได้และทำให้เร็วที่สุด

วันนี้เมื่อท่านอยู่ในบทบาทหน้าที่ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่พร้อมจะให้ความร่วมมือ อะไรที่อึดอัดขัดใจก็สะท้อนกันบ้าง แต่ถึงที่สุดก็ยังเอาใจช่วยรัฐบาลอยู่ดี ทั้งๆ ที่ดูๆ ไม่รู้ว่าจะไหวหรือเปล่า นายกฯ ออกทีวีก็ผอมลงทุกที แน่นอนครับ เราอยากชนะ ทุกคนเห็นด้วยว่าประเทศไทยต้องชนะ

แต่การจะชนะสถานการณ์นี้ได้ ต้องมีการบริหารจัดการ มีความรู้ความสามารถในการแก้ไขเหตุการณ์และทำอย่างชัดเจนเด็ดขาดรวดเร็วทันที'


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"