รัฐบาลมาเลเซียเตรียมใช้กำลังทหารสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในการควบคุมบังคับใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หลังจากพบประชาชนจำนวนมากยังฝ่าฝืน

ตำรวจมาเลเซียออกลาดตระเวนในกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันศุกร์ เพื่อบังคับใช้มาตรการปิดเมืองนาน 2 สัปดาห์

    รัฐบาลของนายกฯ มูห์ยิดดิน ยัสซิน ประกาศใช้มาตรการปิดประเทศตั้งแต่วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รุนแรงขึ้น สืบเนื่องจากการแพร่เชื้อภายในกลุ่มคนที่เข้าร่วมพิธีที่มัสยิดหลังหนึ่งชานกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อปลายเดือนมีนาคม

    มาตรการนี้นอกจากปิดประเทศห้ามชาวต่างชาติเข้ามาเลเซีย และห้ามชาวมาเลเซียเดินทางออกนอกประเทศแล้ว ยังรวมถึงการขอให้ประชาชนอยู่กับบ้าน ปิดโรงเรียนทั่วประเทศ และให้ธุรกิจร้านค้าเกือบทั้งหมดหยุดกิจการชั่วคราว โดยเตือนว่าหากไม่มีการใช้มาตรการควบคุม "สึนามิ" ของการติดเชื้อจะเกิดตามมา

    อย่างไรก็ดี ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ชาวมาเลเซียจำนวนมากเพิกเฉยต่อมาตรการดังกล่าว บางส่วนยังคงออกมาเดินเล่นตามสวนสาธารณะและรับประทานอาหารนอกบ้าน

    เดิมนั้นรัฐบาลมอบหมายให้ตำรวจทำหน้าที่ควบคุมบังคับใช้มาตรการนี้ แต่เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม รัฐมนตรีกลาโหม อิสมาอิล ซาบรี ยาคอบ กล่าวว่า กองทัพจะเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ตั้งแต่วันอาทิตย์ "เรามั่นใจว่า ด้วยความช่วยเหลือของกองทัพ มาตรการที่เข้มงวดจะลุล่วงได้ ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่ใส่ใจคำสั่งของรัฐบาล"

    มาเลเซียพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่อีก 130 คนเมื่อวันศุกร์ ทำให้ยอดรวมเพิ่มเป็น 1,030 ราย เป็นจำนวนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในกลุ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่นี้ 48 รายโยงถึงการเข้าร่วมพิธีที่มัสยิดที่กล่าวถึงข้างต้น เพิ่มเติมจากมากกว่า 670 รายก่อนหน้านี้

    พิธีที่มัสยิดหลังนั้นจัดระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึง 1 มีนาคม มีชาวมุสลิมเข้าร่วมถึง 16,000 คน ในจำนวนนี้ราว 1,500 คนมาจากประเทศเพื่อนบ้านเช่น บรูไน, กัมพูชา, สิงคโปร์, ไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ และยังมีอีกจำนวนมากเป็นชาวมุสลิมโรฮีนจาและชาวมุสลิมเมียนมาที่เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย

    ทางการมาเลเซียกำลังติดตามชาวมาเลเซียที่เข้าร่วมพิธีนี้ราว 4,000 คนมาตรวจเชื้อ ขณะเดียวกันยังมีชาวโรฮีนจา ซึ่งกลุ่มสิทธิกล่าวว่าเข้าร่วมหลายร้อยคน ที่ถูกขอร้องให้เข้ารับการตรวจโดยอย่ากลัวการถูกจับกุม.