ไวรัส Covid-19 จะอยู่กับเราอีกนานเท่าไหร่?
คำตอบอยู่ที่ว่าคุณกำลังพูดกับใคร
แม้จะเป็นหมอเชี่ยวชาญด้านโรคระบาดเหมือนกัน คำตอบก็อาจจะไม่เหมือนกัน
ผมได้ยินคุณหมอที่เป็นหนึ่งในการบริหาร War Room ของกรมควบคุมโรคของเราบอกรายการวิทยุคลื่นหนึ่งว่า
"ต้องเตรียมตัวเลยว่า Covid-19 นี้จะอยู่กับเราอีกปีหนึ่งถึงสองปี และหวังว่าเราจะสามารถควบคุมให้คนป่วยทยอยกันมาเพื่อจะได้สามารถดูแลรักษากันได้ ไม่ใช่โหมกันมาทีเดียวมากๆ อาจจะเป็นภาระหนักเกินไป..."
ฟังแล้วก็เข้าใจได้ว่าการทำศึกกับไวรัสตัวนี้ต้องอดทน ต้องยอมรับว่ามันจะไม่หายไปง่ายๆ...และคำว่า "หายไป" นั้นอาจจะหมายถึงการที่มันกลายเป็นโรคพื้นถิ่นที่เกิดได้เป็นระยะๆ เท่านั้น
ไวรัสกลายพันธุ์อย่างนี้ไม่ได้หายไปเลยทีเดียว มันสามารถจะอยู่กับเรา และเราอยู่กับมันได้โดยที่ไม่มีผลกระทบรุนแรงเกินกว่าการเป็นหวัดธรรมดาอย่างที่เราประสบอยู่ก่อนจะเกิดโรคระบาดครั้งนี้
นายกฯ สิงคโปร์หลี่เซียนหลง บอกคนสิงคโปร์ว่า Covid-19 อาจจะระบาดนานกว่า SARS
"…a year, maybe longer"
หนึ่งปี...หรือนานกว่านั้น
แต่ถ้าถามคุณหมอ "จงหนานซาน" ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบหายใจของจีนที่เป็นหนึ่งในนักรบต่อสู้กับ Covid-19 คำตอบน่าสนใจมาก
ท่านบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่ Covid-19 จะ "ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา" ได้ในเดือนมิถุนายนปีนี้
แต่การประเมินของนายแพทย์จงหนานซานมีเงื่อนไขสำคัญข้อหนึ่ง
นั่นคือ "ทุกประเทศจะต้องเอาจริงเอาจังกับการบังคับใช้มาตรการที่เข้มข้นเหมือนๆ กัน"
ตรงนี้แหละที่ยาก
เพราะเราเห็นแล้วว่าหลังจากที่ประเทศจีนดูเหมือนจะทำให้การแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้อยู่ในระดับที่เริ่มจะลดลงแล้ว แต่มันก็ไประบาดที่ยุโรปและสหรัฐฯ อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง
ทั้งนี้เพราะในตอนแรกนั้น ประเทศทางตะวันตกไม่ให้ความสำคัญกับความรุนแรงของโรคนี้เพียงพอ
พอ Covid-19 กระโดดข้ามน้ำข้ามทะเลผ่านพาหะที่เป็นมนุษย์ไปทางตะวันตก มันก็แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
เช่นกรณีอิตาลี, สเปน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี
ที่อิหร่านของตะวันออกกลางก็มีความน่ากลัวไม่น้อยกว่ากันในแง่ของจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิต
ที่สหรัฐฯ ระดับสูงสุดอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ก็มีท่าทีลังเลว่าจะใช้มาตรการเข้มข้นขนาดไหน พอเกิดช่องว่างในช่วงแรก ไวรัสตัวนี้ก็ฉวยโอกาสโจมตีจนกลายเป็นเรื่องเป็นราว
ถึงขั้น WHO ต้องประกาศเป็น Pandemic อเมริกาและสเปนจึงประกาศ "ภาวะฉุกเฉิน" เพื่อตั้งรับอย่างร้อนรน
คุณหมอจงหนานซานบอกว่าหลายประเทศในโลกยังไม่เอาจริงเอาจังกับภัยคุกคามของไวรัสตัวนี้
ท่านเรียกร้องให้มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างประเทศมากกว่าที่เป็นอยู่
เพราะไวรัสไม่สนใจพรมแดน ไม่แคร์ว่าจะเป็นคนสัญชาติใด หากมีจุดอ่อนเมื่อใดก็โจมตีทันที
มันจึงไม่ใช่ "ไวรัสอู่ฮั่น" หรือ "ไวรัสวอชิงตัน" แต่เป็น "ไวรัสโลก" ที่เป็นศัตรูของทุกคนบนโลกใบนี้
หมอจงหนานซานบอกว่าปกติแล้วไวรัสจะมีกิจกรรมที่แผ่วลงในหน้าร้อน แต่การจะปราบมันให้อยู่หมัดขึ้นอยู่กับความจริงจังของทุกประเทศโดยไม่มีข้อยกเว้น
หากชาติใดอ่อนแอ เปิดช่องว่างให้ไวรัสโจมตีได้ ก็เท่ากับเปิดช่องโหว่ให้ถล่มใส่คนต่างๆ ทั่วโลกได้
นั่นแปลว่าถึงแม้ประเทศหนึ่งจะมุ่งมั่นตั้งใจบังคับใช้มาตรการอย่างเข้มข้นเพียงใด หากอีกประเทศหนึ่งโดยเฉพาะที่อยู่ใกล้กันไม่เอาจริงในระดับเดียวกัน ก็จะเป็นการเปิดทางให้ไวรัสข้ามกำแพงมาทำลายชีวิตของคนอื่นๆ ได้ทันที
ผู้อำนวยการ WHO Dr.Tedros Adhanom Ghebreyesus ออกมาตอกย้ำว่า การยกระดับภัยนี้เป็น "โรคระบาดลามโลก" หรือ Pandemic นั้น "ไม่ใช่เป็นการซ้อมเฉยๆ...แต่เป็นเรื่องร้ายแรงจริงๆ เป็นภัยคุกคามทุกประเทศ ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นชาติร่ำรวยหรือยากจน...."
ผมสรุปได้ว่าการประเมินว่าจะปราบ Covid-19 ให้ได้ผลนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่ากี่เดือนหรือกี่ปี...
ทั้งหมดอยู่ที่ว่าทุกประเทศในโลกนี้ต้องลุกขึ้นมาทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อชนะศึกนี้ให้ได้
เพราะนี่คือสงครามระดับโลก
ในสงครามไม่มีคำว่าแพ้บางสมรภูมิ ชนะบางสมรภูมิ
หากเราไม่เอาชนะ Covid-19 อย่างเบ็ดเสร็จ ศัตรูตัวนี้ก็พร้อมจะตลบหลังเราได้ตลอดเวลา!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |