'เรืองไกร'เจอคุก8เดือน 'วัชระ'อุทธรณ์เพิ่มโทษ


เพิ่มเพื่อน    

    ศาลลงดาบหนักจอมร้อง “เรืองไกร”   คุก 8 เดือนแจ้งเท็จกล่าวหา “วัชระ” แทรกแซงดีเอสไอเรื่องชายชุดดำ ส่วน “ธาริต” รอดแต่หวั่นถูกอุทธรณ์  รีบให้ทนายมากระแซะขอเป็นเพื่อน แจ็คเตรียมยื่นเพิ่มโทษจอมฟ้องเหตุไม่สำเหนียก
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 28 มี.ค. ที่ศาลแขวงดอนเมือง ผู้พิพากษาได้อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.812/2559 ที่นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นโจทก์ ฟ้องนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และเป็นทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย จำเลยที่ 1 และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จำเลยที่ 2 ในข้อหาแจ้งความเท็จ ให้พนักงานจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ และหมิ่นประมาท
    โดยนายวัชระระบุคำฟ้องว่า นายเรืองไกรได้ร้องเรียนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่านายวัชระ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน คนที่ 1 ในขณะนั้น ร่วมกับนายศุภชัย ศรีหล้า ประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ จงใจใช้สถานะหรือตำแหน่ง ส.ส.เข้าไปก้าวก่าย หรือแทรกแซงการทำงานของนายธาริต โดยเรียกนายธาริตมาให้การเรื่องชายชุดดำในเหตุการณ์ความไม่สงบเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 ที่สภาผู้แทนราษฎร โดยไม่มีอำนาจและเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ ปชป. และไม่ได้มีมติของ กมธ. เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 266 (1) โดยนายเรืองไกรและนายธาริตขณะเป็นอธิบดีดีเอสไอได้ไปให้การยืนยันข้อความอันเท็จต่อเจ้าพนักงาน กกต. ซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้ประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณา
    ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายวัชระเป็นรองประธาน กมธ.ขณะนั้น เรียกนายธาริตไปชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีชายชุดดำ ต่อมาวันที่ 18 มี.ค.2556 นายเรืองไกรได้มีหนังสือถึง กกต.ว่านายวัชระเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของนายธาริตขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากนั้นได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงาน กกต. และคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงของ กกต. ซึ่งศาลต้องวินิจฉัยว่านายเรืองไกรกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
    ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายวัชระและนายศุภชัยได้เบิกความว่าได้ทำหนังสือเชิญถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย แต่นายเรืองไกรไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบแก้ให้เห็นว่านายวัชระจงใจก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของนายธาริตอย่างไร พยานนายวัชระจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ประกอบกับนายเรืองไกรได้ให้การต่อ กกต.ยืนยันข้อเท็จจริงประสงค์ให้ กกต.พิจารณาว่านายวัชระจงใจก้าวก่ายเกินเลยมากกว่าการแสดงความคิดเห็นท้วงติงและการคาดคะเนส่วนตัว 
“จำเลยที่ 1 เคยเป็น ส.ว.มาก่อน ย่อมทราบกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริง ประกอบกับจำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนได้เสียใดๆ การใช้สิทธิของต้องไม่เกินเลยขอบเขตกฎหมาย จึงไม่ได้รับการคุ้มครอง พยานหลักฐานจำเลยที่ 1 ไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ เป็นการให้ข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารราชการ จึงผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ศาลเห็นว่าโจทก์ต้องนำสืบจนปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 2 แบ่งหน้าที่ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างไร ลำพังจำเลยที่ 2 ไปให้ถ้อยคำต่อ กกต. ยังไม่พอฟังได้ว่าร่วมกระทำผิด เนื่องจากจำเลยที่ 2 เป็นอธิบดีดีเอสไอและหัวหน้าพนักงานสอบสวน ย่อมมีอำนาจใช้ดุลยพินิจในการไม่เปิดเผยสำนวนเพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียในการสอบสวน”
ขณะที่โจทก์เป็นรองประธาน กมธ.พยายามเชิญจำเลยที่ 2 มาชี้แจงหลายครั้ง จำเลยที่ 2 เชื่อและเข้าใจว่ามี กมธ.บางคนเป็น ส.ส.ของพรรคการเมืองที่หัวหน้าพรรคเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา (สลายการชุมนุมในเหตุการณ์ความไม่สงบปี 2553) ทำให้จำเลยที่ 2 ให้ถ้อยคำเป็นพยานว่าโจทก์ก้าวก่ายแทรกแซงเรื่องชายชุดดำ เอื้อประโยชน์พรรคประชาธิปัตย์และผู้ต้องหา สิ่งที่ กมธ.ปฏิบัติ ทำให้จำเลยที่ 2 เข้าใจว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ซึ่งจำเลยที่ 2 ให้ถ้อยคำในฐานะผู้มีส่วนได้เสีย จึงถือว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำหน้าที่โดยสุจริตแล้ว ย่อมได้รับความคุ้มครอง ไม่มีความผิด
    พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และ 267 ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ และให้เจ้าพนักงานจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดฐานให้เจ้าพนักงานจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ จำคุก 1 ปี แต่ทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
    ต่อมานายเรืองไกรได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 1 แสนบาท ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ โดยศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัวไปโดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ 
    นายวัชระกล่าวภายหลังรับทราบคำพิพากษาว่า เคารพคำตัดสินศาล โดยในส่วนนายธาริตนั้น ได้ให้ทนายความมาบอกว่า คนอื่นชั่วกว่าตั้งเยอะแยะ คุณวัชระยังปล่อยไป เอาตนเองไว้เป็นเพื่อนสักคน และขอว่าอย่าอุทธรณ์ได้ไหม ซึ่งไม่แน่ใจว่าหากรับนายธาริตไว้เป็นเพื่อนแล้วจะมีอะไรตามมาบ้าง จะขอดูความประพฤติของนายธาริตก่อน เพราะตามหลักกฎหมายต้องอุทธรณ์ภายใน 30 วัน และมูลเหตุในการฟ้องคดีไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมรับอำนาจของ กมธ. ซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายนิติบัญญัติ อีกทั้งยังไปให้การเท็จต่อ กกต. เพื่อหวังให้ กกต.ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าผิด จะทำให้ขาดสมาชิกภาพไม่ได้เป็น ส.ส.ต่อไป แต่โชคดีที่ กกต.ยกคำร้อง ไม่เห็นด้วยกับการร้องเรียนของนายเรืองไกรและนายธาริต เพราะไปให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อ กกต.
    “จากคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถือว่าศาลท่านมีเมตตามาก แต่ในส่วนของผมจะยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลเพิ่มโทษแน่นอน เนื่องจากนายเรืองไกรไม่ได้มีพฤติกรรมสำนึกผิดใดๆ นอกจากนี้ โดยสามัญสำนึกแล้วโจทก์ย่อมอุทธรณ์ต่อศาลสูง เพื่อให้คลายข้อสงสัยตามหลักวิชาการ เมื่อมีคำพิพากษาจึงต้องขอหารือกับผู้ใหญ่ในพรรคก่อน” นายวัชระกล่าว.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"