ยอดสังเวยโควิด-19 ในยุโรปแซงหน้าเอเชียแล้วเมื่อวันพุธ ผู้ติดเชื้อทั่วโลกพุ่งทะลุ 200,000 ราย สหภาพยุโรปปิดพรมแดน 30 วัน สหรัฐเจอผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาครบทั้ง 50 มลรัฐ "โดนัลด์ ทรัมป์" เตรียมแผนอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ แจกตังค์อเมริกันรายละ 1,000 ดอลลาร์ อนามัยโลกวิตกสถานการณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ข้อมูลอย่างเป็นทางการที่รวบรวมโดยสำนักข่าวเอเอฟพีเมื่อค่ำวันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 ระบุว่า มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั่วโลกเพิ่มมากกว่า 200,000 รายแล้ว ในจำนวนนี้เสียชีวิต 8,092 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรป 3,422 ราย และในเอเชีย 3,384 ราย โดยช่วง 24 ชั่วโมงถึงเวลา 19.00 น.ของวันพุธ มีผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม 684 ราย จากผู้ติดเชื้อ 78,766 ราย ทวีปยุโรปกลายเป็นศูนย์กลางของการแพร่ระบาดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นมากที่สุด
เมื่อวันอังคาร บรรดาผู้นำชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ประชุมทางไกลกันและลงความเห็นว่าอียูจะปิดพรมแดน ห้ามนักเดินทางจากประเทศภายนอกกลุ่มเข้าอียูเป็นเวลา 30 วัน แต่มาตรการนี้จะไม่มีผลกับชาวยุโรปที่เดินทางกลับประเทศ, นักสังคมสงเคราะห์, คนทำงานที่ต้องข้ามพรมแดน หรือพลเมืองของอังกฤษซึ่งเคยเป็นสมาชิกอียู
เออร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวกับหนังสือพิมพ์บิลด์ของเยอรมนีว่า พวกนักการเมืองเคยประเมินภัยคุกคามจากไวรัสต่ำไปในช่วงเริ่มแรก แต่ตอนนี้มีความชัดเจนแล้วว่าไวรัสจะสร้างความวุ่นวายต่อไปอีกยาวนาน มาตรการที่เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อนถูกมองว่ารุนแรงนั้นจำเป็นต้องถูกนำมาใช้แล้วในตอนนี้
อิตาลีเป็นประเทศที่สถานการณ์รุนแรงที่สุดโดยรัฐบาลสั่งล็อกดาวน์ทั้งประเทศตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด โดยมีผู้ติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 31,506 ราย เสียชีวิต 2,503 ราย สเปนสถานการณ์หนักรองลงมี มีผู้ติดเชื้อเกิน 13,700 ราย เสียชีวิตอย่างน้อย 600 ราย
ถึงวันพุธ โควิด-19 แพร่กระจายไปถึงมากกว่า 150 ประเทศและดินแดนทั่วโลกแล้ว โดยจิบูตี, คีร์กีซสถาน, มอนเตเนโกร และแกมเบีย พบผู้ติดเชื้อรายแรก ส่วนบูร์กินาฟาโซ, มอลโดวา, บราซิลและตุรกี ก็มีผู้เสียชีวิตรายแรก
รัฐบาลของหลายประเทศกำลังใช้มาตรการเข้มงวดหวังชะลอการแพร่เชื้อ ทั้งโดยการปิดประเทศ, ปิดเมือง, จำกัดให้ประชาชนอยู่กับบ้าน, ปิดร้านค้าร้านอาหาร และสถานบันเทิง สถาบันการศึกษาถูกสั่งปิด เมื่อวันพุธองค์การยูเนสโกกล่าวว่า มีเยาวชนมากกว่า 850 ล้านคน หรือราวครึ่งหนึ่งของประชากรวัยเรียนของโลกซึ่งรวมถึงระดับมหาวิทยาลัย ไม่ได้เล่าเรียนเนื่องจากโรคระบาด ซึ่งทำให้ 102 ประเทศสั่งปิดโรงเรียน อีก 11 ประเทศปิดเรียนบางส่วน
ขณะเดียวกัน หลายประเทศประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่เสี่ยงต่อภาวะตกต่ำ เมื่อวันอังคารรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนจัดสรรงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนโต ซึ่งรวมถึงการแจกเงินสดแก่พลเมืองอเมริกันทุกคน รายงานของรอยเตอร์กล่าวว่า ทำเนียบขาวต้องการใช้งบกระตุ้น 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเงินส่วนหนึ่งจะแจกให้ประชาชนโดยตรงรายละ 1,000 ดอลลาร์ หรือราว 32,400 บาท
ถึงขณะนี้สหรัฐมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ครบทั้ง 50 มลรัฐแล้ว โดยรัฐล่าสุดคือเวสต์เวอร์จิเนีย พบผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อวันอังคาร ยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐที่ประเมินอย่างต่ำนั้นมีเกือบ 6,500 รายแล้ว เสียชีวิตอย่างน้อย 114 ราย
รัฐบาลอังกฤษก็เพิ่งประกาศแผนจัดสรรงบ 330,000 ล้านปอนด์เป็นกองทุนกู้ยืมแก่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ รัฐบาลฝรั่งเศสและเยอรมนีก็ประกาศมาตรการคล้ายกัน
ด้านสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในบางประเทศ องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) เรียกร้องให้รัฐบาลในภูมิภาคนี้ใช้มาตรการที่ดุดัน เพิ่มความพยายามเต็มกำลังและเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อแบบกลุ่มเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันมาเลเซียเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในอาเซียนที่ 790 ราย แต่ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับการเข้าร่วมพิธีทางศาสนาที่มัสยิดแห่งหนึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งมีชาวมุสลิมจากหลายประเทศเข้าร่วมด้วย หลายคนกลายเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศของตน
รัฐบาลมาเลเซียเริ่มใช้มาตรการปิดพรมแดนแล้วเมื่อวันพุธ ห้ามชาวต่างชาติเข้าประเทศ และห้ามพลเมืองเดินทางออกนอกประเทศเป็นเวลา 2 สัปดาห์
ออสเตรเลียก็เรียกร้องพลเมืองงดการเดินทางไปต่างประเทศแล้วเช่นกัน และห้ามการรวมตัวกันมากกว่า 100 คน โดยยอดผู้ติดเชื้อในออสเตรเลียเพิ่มเป็นมากกว่า 560 รายแล้ว เสียชีวิต 6 ราย.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |