ลั่นไม่ตัดทางตัวเอง รธน.เปิดช่องผู้นำคนนอก ประยุทธ์ชี้หมดยุคปฏิวัติ!


เพิ่มเพื่อน    

"ประยุทธ์” เลี้ยงปีใหม่นักข่าวทำเนียบฯ    เปิดใจไม่ได้จำกัดเสรีภาพสื่อ โอดปวดหัวกับสถานะตัวเอง เดี๋ยวให้เป็นทหารเป็นนักการเมือง แจงเพราะสถานการณ์พิเศษจึงมาเป็นคนทำงานการเมือง แบไต๋ไม่ปิดประตูเป็นนายกฯ คนนอก เหตุจะตัดทางตัวเอง-ตัดเรื่องปฏิวัติ ขณะที่นักการเมืองยินดีที่ "บิ๊กตู่" ยอมรับมีสถานะเดียวกัน พท.ชี้เท่ากับสถานะคนกลางจบลงแล้ว  "วัชระ" เย้ยต้องผ่านบัญญัติ 10 ประการ มิใช่แค่พูดเท่ๆ   "มาร์ค" โต้ กม.ลูกไม่ผ่าน คสช. ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ 
    เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 4 มกราคม ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดกิจกรรมสื่อมวลชนสัมพันธ์ เนื่องในโอกาสปีใหม่ โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานงานเลี้ยงปีใหม่ พร้อมนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายวิษณุ เครืองาม พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ, นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมงาน
     โดย น.ส.บุญระดม จิตดอน ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเอเอฟพี เป็นตัวแทนสื่อมวลชนกล่าวขอบคุณและอวยพรนายกฯ และรัฐบาล จากนั้นนายกฯ ได้กล่าวอวยพรแก่สื่อมวลชนว่า ทั้งสื่อและประชาชนมีความคาดหวังสูง เราเข้าใจตรงกันว่าประเทศชาติและปัญหาบ้านเราอยู่ตรงไหน ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกันทำให้บ้านเมืองปลอดภัย มีเสถียรภาพ ถ้าจะบอกว่าเพื่อใครคนใดคนหนึ่งคงไม่ใช่ เพราะคนไทยมีหลายกลุ่ม หลายพวก หลายอาชีพ สิ่งสำคัญวันนี้เราต้องการปฏิรูปและเดินหน้าประเทศของเรา ซึ่งต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน รัฐบาลมุ่งหวังที่จะทำงานทุกอย่างให้สำเร็จให้ได้รวดเร็วที่สุด แต่ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าปัญหาหลายอย่างทับซ้อนมานาน ต้องใช้เวลาแก้ไข ซึ่งไม่ได้หมายความว่าตนจะแก้ไขได้ทั้งหมด ในเมื่อท่านอยากได้สิทธิ เสรีภาพ ตนถามกลับว่าที่ผ่านมาสิทธิเสรีภาพท่านถูกจำกัดตรงไหน ตนไม่ได้ไปจำกัดท่านตรงไหน เพียงแต่บางอย่างตนตอบบ้างไม่ตอบบ้าง บางอย่างก็โกรธบ้าง แต่ไม่เคยไปห้ามอะไรได้สักอย่าง 
    นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ตนตอบคำถามไปเมื่อวันที่ 3 ม.ค.และก่อนหน้านั้น ตนถูกสร้างภาพว่าเป็นทหาร และก็บานปลายไปสู่การตั้งพรรคทหาร ตนก็ตอบให้ชัดเจนว่าไม่ใช่พรรคทหาร เพราะทุกคนที่อยู่ในรัฐบาลนี้ ก็ไม่ใช่รัฐบาลทหาร ถ้าเป็นรัฐบาลทหารก็ต้องมีทหารหมด แต่เรามีประชาชนและทหารรวมอยู่ด้วยกัน เพราะเป็นสถานการณ์พิเศษ หากเป็นพรรคการเมืองทหารต้องเอาทหารมาลงเลือกตั้งทั้งหมดใช่หรือไม่ การแปลงเจตนาคำพูดของตน ต้องทำให้ถูกต้อง 
    "ผมเข้าใจการประกอบอาชีพของสื่อ และเคารพสิทธิเสรีภาพมาตลอด ที่ผ่านมาใครจะวิพากษ์วิจารณ์อะไร ผมก็ไม่เคยเอาใครมาลงโทษ นั้นคือความแตกต่างระหว่างรัฐบาลแบบผม และรัฐบาลประเทศอื่นที่เขามีแบบนี้ ท่านก็เห็นนักการเมืองก็มาว่าผม ใครต่อใครก็มาว่าผม ถ้าผมใช้อำนาจแบบนั้นจริงๆ ท่านจะมาพูดกับผมได้ไหม หลายอย่างจำเป็นจะต้องออกกฎหมาย สิ่งเหล่านี้คือปัญหาของประเทศไทย วันนี้เราลดแรงกดดันจากต่างประเทศ หลายประเทศก็เริ่มเข้าใจเรามากขึ้น แต่กลายเป็นว่ากดทับมาที่รัฐบาล แล้วทำไมเขาไม่พูดถึงประชาชนในประเทศว่าขาดอะไร ยากจนเพราะอะไร ไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะอะไร" 
คนทำงานการเมือง
    เขากล่าวต่อว่า ตนไม่เคยเป็นศัตรูกับท่าน แม้แต่โฆษกรัฐบาล ตนก็บอกให้เขานิ่งๆ ทำตัวให้ดี เป็นคนน่ารักกับสื่อ แต่สื่อบอกว่า พล.ท.สรรเสริญเปลี่ยนไป สรุปว่าทุกคนเปลี่ยนหมด ยกเว้นสื่อที่ไม่เปลี่ยนตัวเอง ก็ไม่ใช่ ก็ต้องคิดเองว่าเราควรจะเปลี่ยนท่าทีอะไรกันบ้าง วันนี้ไม่ได้หวังว่าจะได้อะไรตอบกลับมา เพราะสังคมสับสนว่ารัฐบาลอยู่มา 3 ปีแล้วได้อะไรขึ้นมา ตนถามว่า 3 ปีที่ผ่านมา ท่านต้องชั่งน้ำหนักตรงนี้ด้วย 
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯ ได้เรียกนายทหารติดตามให้เอาหนังสือพิมพ์จำนวนหนึ่งมาให้ โดยนายกฯ ได้หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาทีละฉบับ และพูดถึงการพาดหัวข่าวของแต่ละฉบับ พร้อมกับกล่าวว่า วิธีการอ่านหนังสือของตน อ่านวันละหลายฉบับ เป็นคนอ่านเร็ว และจับประเด็นโดยใช้ปากกาวงไว้อันไหนดีหรือไม่ดี ซึ่งทั้งเล่มมีทั้งดีและไม่ดี เหล่านี้คือสิ่งที่จะช่วยเปลี่ยน แปลงประเทศ 
    "ยิ่งวันนี้ที่ผมมาอยู่ตรงนี้ ท่านก็รู้อยู่แล้ว วันนั้นก่อนที่ผมจะมา ท่านบอกว่าผมเป็นนักการเมือง แต่ผมบอกว่าผมเป็นทหาร แต่วันนี้พอผมบอกเป็นทหาร ท่านก็บอกว่าเป็นนักการเมือง มันกลับไปกลับมาอย่าง ก็ปวดหัวกับสถานะของผม อยากบอกว่าผมเป็นคนทำงานการเมือง แต่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มันมีปัญหาเพราะทำงานการเมือง" 
    พล.อ.ประยุทธ์ยังหยิบยกการนำเสนอของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขึ้นมา โดยได้เปิดหนังสือพิมพ์แทบลอยด์  เอ็กซ์-ไซท์ ไทยโพสต์ดู ก่อนกล่าวว่า เล่มนี้นำเสนอสิ่งดีๆ ที่เกิดในประเทศไทย ว่ารัฐบาลกำลังทำอะไร ไม่ได้ติติงอะไร ถือเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น แต่ประชาชนไม่ค่อยได้รับทราบ สิ่งที่รัฐบาลทำสื่อมักนำเสนอว่ามีประเด็นทุจริต ทำให้ประเด็นใหญ่ใจความสำคัญหายไป ต้องนำเสนอให้ตนทั้งสองทาง ประเทศชาติอยู่ในมือเราทุกคน รัฐบาลมีนโยบายทำทุกอย่างให้เกิดผลเร็วขึ้น โดยเฉพาะปี 61 เป็นปีแห่งการปฏิรูป เพื่อเป็นการส่งต่อในวันข้างหน้า ตนอยากให้ทุกอย่างเคลียร์กันตั้งแต่วันนี้ ตนไม่ได้มีอะไรกับสื่อ รักทุกคนเหมือนเดิม
    หัวหน้า คสช.กล่าวด้วยว่า ตนพยายามจะเดินไปข้างหน้าให้ได้ เป็นสิ่งที่มุ่งมั่นในใจด้วยแรงศรัทธาของตน ตนต้องศรัทธาตัวเองก่อนว่าต้องทำให้สำเร็จ ถ้าท้อแท้ ตนอยู่มาไม่ได้ถึงวันนี้ ลาออกไปนานแล้ว 
    "ผมไม่มีอะไรให้นอกจากคำอวยพรจากใจของผมวันหน้าผมไม่ได้เป็นนายกฯ ก็ยังอยู่ ท่านอยู่ดี เพราะนี่เป็นดินแดนประเทศไทย จะมาบอกว่าไม่เป็นนายกฯแล้วอยู่ไม่ได้ กฎหมายมันว่าอย่างไร ผมผิดกฎหมายตรงไหน ใครจะมาฆ่าฟันตรงไหน ก็ลองมาก็แล้วกัน ไม่ได้ท้าทาย พูดให้ฟังเฉยๆ เพราะท่านเอาคำพูดเหล่านี้มาไล่ล่าผม มันถูกต้องหรือไม่ มาข่มขู่หรือไม่ อย่าไปขยายความให้คนเหล่านี้ อย่าไปสนับสนุนคนที่ทำลายศักดิ์ศรีประเทศไทย วันนี้ปีจอ เป็นปีหมา เพราะนั้นเราต้องมีชีวิตอยู่ในปีนี้ด้วยความสงบเงียบ เป็นหมาที่ไม่ดุ หมาที่ใจดี หมาคือสุนัขคือผู้เล็บอันงาม และถือเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์กับมนุษย์ที่สุด ดังนั้นใครจะมาว่าผมดวงตกดวงแตกมันอยู่ที่การกระทำของเราเอง ถ้าดวงไม่ดี แต่ใจเราดีเสียอย่าง มันต้องฟันฝ่าไปได้ อุปสรรคคือกำลังใจ บทเรียน"
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานเลี้ยงสื่อมวลชนได้ขอให้นายกฯ ร้องเพลงบ้าง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ลังเลเพียงครู่เดียวก็ลุกขึ้นไปขอเพลง “เงียบๆ คนเดียว” ของเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ โดยระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ร้องเพลงก็พูดออกมาว่า “บางเวลาก็อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว” ต่อด้วยเพลง “คนดีไม่มีวันตาย” ของศิลปิน ธีร์ ไชยเดช และช่วงท้ายของงาน ระหว่างถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับสื่อมวลชน นายกฯ ยังเดินไปคว้าไมค์ เมื่อทางทีมงานได้เปิดเพลง “สายโลหิต” ของศิลปินชมพู สุทธิพงษ์ วัฒนจัง และร่วมร้องเพลงด้วยเป็นการส่งท้าย  
ไม่ปิดทางเป็นนายกฯ คนนอก
     ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวระหว่างขึ้นกล่าวอวยพรสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ตอนหนึ่งถึงกรณีที่ไม่เคยให้ความชัดเจนการเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอกหรือการลงเล่นการเมืองว่า สื่อย่อมรู้คำตอบดี ว่าพูดไปก็จะเป็นการตัดทาง เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก ก็ถือว่าตามระบบ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้ระบุไว้ หากพรรคการเมืองไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีกันเองได้ในสภา รัฐธรรมนูญก็เปิดช่องทางให้เสนอนายกรัฐมนตรีคนนอกได้ เพื่อเป็นการตัดเรื่องการปฏิวัติต่อไปนี้ จะไม่มีการปฏิวัติแล้ว เพราะนายกรัฐมนตรีคนนอก ก็เลือกกันในรัฐสภา แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครเสนอตนเองให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก
    ด้านนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ประกาศต่อสาธารณะในบทบาทของนักการเมืองว่า ไม่รู้นัย ตนฟังก็ปกติ เพราะท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ทำงานการเมืองอยู่ ถามว่าท่านเป็นนักการเมืองอาชีพไหม ก็คงไม่เป็นหรอก เพราะเคยบอกตั้งแต่วันแรกแล้วว่าไม่อยากเป็น ส่วนจะเป็นการเปิดตัวเพื่อลงเล่นการเมืองเลยหรือไม่ ตนไม่ทราบ นักข่าวมองว่าเปิดตัว แต่ตนมองว่านายกฯ รับรู้สถานะตัวเอง ก็เท่านั้น ส่วนที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรี บอกกับนายกฯ ว่าได้ใช้กองหนุนไปหมดแล้วนั้น เรื่องนี้มาถามตนไม่ได้ 
    เมื่อถามถึงเนื้อหาตามมาตรา 44 ที่แก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 จะทำให้โรดแมปขยับหรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า มันขยับเฉพาะเวลาข้างหน้า ส่วนข้างหลังไม่ได้ขยับ จึงยังพูดอะไรไม่ได้ว่า โรดแมปเลือกตั้งจะขยับหรือไม่ เพราะเป็นการขยับให้พรรคการเมืองเขาทำงานกันได้ 
     ขณะที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน แกนนำเครือข่ายประชาชนปฏิรูป กล่าวชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยอมรับและประกาศบทบาทของตนเองฐานะนักการเมืองว่า เพื่อให้บทบาททางการเมืองมีความเปิดเผยและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้จะมีนักการเมืองโจมตีพล.อ.ประยุทธ์เป็นตัวแทนของทหารที่นักการเมืองต้องต่อสู้ และทำให้เกิดกระแสต่อต้านทหารขึ้น เมื่อนายกฯ ประกาศตนเองในบทบาทนักการเมือง จึงเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ขณะที่แนวทางของพรรคประชาชนปฏิรูปที่เตรียมก่อตั้งและประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ต่อเมื่อมีการเลือกตั้ง จึงเป็นสิ่งยืนยันความเป็นไปได้ในแนวทางดังกล่าว ส่วนนายกฯ มีท่าทีลงเล่นการเมืองหรือไม่นั้น เชื่อว่าขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะประกาศ คงต้องรอช่วงเดือนมิถุนายน หลังพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ใช้เลือกตั้งมีผลบังคับใช้ครบทั้ง 4 ฉบับ
     นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับเป็นนักการเมืองว่า เป็นเรื่องดี เพราะนายกฯ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมานานพอสมควร ก็ควรมีความชัดเจน และบทบาทที่ทำอยู่เป็นเรื่องของการเมืองทั้งนั้น แต่สังคมจะติดบทบาทของทหาร ซึ่งความหมายของทหารคือผู้ที่อยู่ในกองทัพมีบทบาทแตกต่างออกไป ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หากแยกให้ชัดก็เป็นเรื่องดี และไม่จำเป็นต้องมาเข้าใจหัวอกนักการเมือง แต่ขอให้ปฏิรูปโดยทำให้เห็นว่านักการเมืองที่ดีจะต้องเป็นอย่างไร คือต้องมุ่งหน้าแก้ปัญหาให้กับประชาชน รับฟังเสียงประชาชน พร้อมรับการตรวจสอบ และยอมรับความแตกต่างทางความคิด         
    ส่วนกรณีที่นายกฯ ระบุว่าหากมีปัญหาเกี่ยวกับกรอบเวลาตามโรดแมป ไม่ใช่ความรับผิดชอบของ สนช.และ คสช.นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตารางเวลาเลือกตั้งผูกอยู่กับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เงื่อนไขสำคัญคือกฎหมายลูกอีก 2 ฉบับต้องเสร็จเรียบร้อย หากมีการเลื่อนออกไป เหตุหนึ่งที่จะเกิดได้คือเรื่องของกฎหมาย จึงอยากให้ คสช.มีความชัดเจน ตรงไปตรงมา หากตั้งใจเดินทางตามโรดแมปในฐานะผู้มีอำนาจ ก็ต้องรับผิดชอบให้เดินไปตามนี้ เพราะแม่น้ำทุกสายมาจาก คสช.ทั้งสิ้น และ คสช.ต้องรับผิดชอบกับผลงานที่ออกมา ที่บอกว่าไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องได้ในเรื่องของกฎหมายนั้น ไม่จริง เพราะคำสั่ง คสช.ล่าสุดก็ออกมาแก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง จึงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพราะ คสช.มีอำนาจพิเศษที่อยู่เหนือทั้งนิติบัญญัติและตุลาการตามมาตรา 44
สถานะคนกลางจบลงแล้ว
    นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรค ปชป. กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่า พล.อ.ประยุทธ์พูดตลกหรือพูดเรื่องจริง เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ด่านักการเมืองมาตลอด แล้ววันนี้ท่านมายอมรับว่าตนเองเป็นนักการเมืองเหมือนกับเป็นการกลืนน้ำลายตัวเองหรือไม่
    นายวัชระกล่าวว่า นักการเมืองนั้น 1.ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่ใช่รัฐประหารยึดอำนาจเข้ามา 2.ต้องมือไหว้และเคารพประชาชน ไม่ตะคอกประชาชน 3.ต้องให้ประชาชนเข้าถึง ร้องทุกข์ได้ง่าย ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่สั่งทหารอุ้มประชาชนไปไว้ในค่ายทหาร 4.ต้องมีจิตอาสามารับใช้ประชาชน และพร้อมให้ประชาชนตรวจสอบอย่างสง่างาม ไม่ใช้องค์กรอิสระเป็นเครื่องมือในการฟอกตนเอง 5.ต้องพูดแล้วทำ ไม่ทำในสิ่งที่สวนทางกับคำพูดของตนเอง 6.ต้องเคารพกฎหมาย การออกกฎหมายใดต้องฟังเสียงของประชาชน ไม่ยกตนข่มท่านว่า ข้าพเจ้าคือกฎหมายสูงสุด อยู่เหนือกฎหมายรัฐธรรมนูญ 7.ต้องมีจริยธรรมและธรรมาภิบาล ต้องประพฤติเป็นแบบอย่างและไม่ปกป้องพวกพ้องที่ทุจริตคอร์รัปชันมโหฬาร 8.ต้องมีหิริโอตตัปปะ และมียางอาย ไม่โกหกประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า 9.ถ้าอ้างศาสตร์ของพระราชา ต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่าง มีความพอเพียง ไม่ทอดทิ้งหาบเร่แผงลอย คนจนและเกษตรกร แล้วเอาใจเจ้าสัวนายทุนยักษ์ใหญ่ของประเทศเช่นทุกวันนี้ 10.ต้องพิสูจน์ตนเองในสนามเลือกตั้งว่าได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชนหรือไม่
    "บัญญัติสิบประการนี้ ไม่แน่ใจว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมีคุณสมบัติเพียงพอเป็นนักการเมืองหรือไม่ ลำพังแค่ตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐประหารชื่อ คสช.แล้วมาประกาศว่าตนเองเป็นนักการเมืองให้ดูเท่ๆ ให้กลมกลืนกับสถานการณ์ก็เป็นไปได้ เมื่อประกาศว่าเป็นนักการเมืองแล้ว ก็ขออวยพรให้บรรลุความใฝ่ฝัน และต้องลงสนามเลือกตั้ง อย่าเอาเปรียบนักการเมืองด้วยกันเหมือนเช่นที่ผ่านมา" นายวัชระกล่าว 
     นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.การต่างประเทศ และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่าท่านเป็นนักการเมือง ถือว่าเป็นการยอมรับความจริง เพราะพรรคเพื่อไทยย้ำเรื่องนี้มาตลอดว่าท่านเป็นนักการเมือง การทำตัวไม่ฝืนธรรมชาติเป็นเรื่องดี นอกจากนั้น ปีใหม่นี้คงจะเป็นปีสุดท้ายก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง รัฐบาล และ คสช.ควรประมวลปัญหาของประเทศและประชาชน แล้วจัดลำดับความเร่งด่วนในการแก้ให้สำเร็จภายใต้กรอบเวลาที่จำกัด เอาปัญหาของบ้านเมืองมาก่อน อย่าสร้างปัญหาการเมืองเพิ่ม และจะแก้ปัญหาสำเร็จได้ ต้องลดเงื่อนไขแห่งความไม่ไว้วางใจให้น้อยลง เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมมือกับรัฐบาลมากขึ้น เช่น ความชัดเจนในการจัดการเลือกตั้ง คนไทยไม่ควรต้องมาตั้งคำถามรายวันว่า ปี 61 จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ 
     นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่าตนไม่ใช่ทหาร แต่เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหารว่า การรับดังกล่าว เพราะจำนนด้วยหลักฐานหรือไม่ กล่าวคือ จะเห็นได้ว่า การลงพื้นที่ในการประชุม ครม.สัญจรก็ดี หรือส่วนตัวก็ดีมีการนัดพบกลุ่มนักการเมืองทั้งโดยเปิดเผยและในทางลับ สอดคล้องกับข่าวการตั้งพรรคทหารหรือพรรคการเมืองที่สนับสนุนนายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอกประกอบกับเมื่อมีคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 เท่ากับรีเซตสมาชิกพรรคการเมือง และอดีต ส.ส.โดยอ้อม การอ้างว่าเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างพรรคการเมืองเก่ากับพรรคการเมืองใหม่ เป็นกลยุทธ์ที่จะเอาเปรียบทางการเมืองหรือไม่ จึงอาจจะเพิ่มน้ำหนักว่าเป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง 
    "เหตุผลหรือวัตถุประสงค์ในการยึดอำนาจเมื่อ 22 พ.ค.57 ได้อ้างว่าเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง สร้างความปรองดองในบ้านเมือง ปฏิรูปประเทศ และปราบปรามการทุจริต กล่าวโดยสรุปก็คือ เข้ามาเป็น "คนกลาง" เพื่อสะสางปัญหาบ้านเมือง ดังนั้น เมื่อตัวตนได้เปิดเผยออกมาจึงน่าจะมิใช่คนกลาง ประกอบกับเมื่อมีคำกล่าวสำคัญที่ว่าได้ใช้กองหนุนเกือบจะหมดแล้ว น่าจะเป็นสัญญาณว่า เวลาในการทำหน้าที่ที่เคยอ้างว่าเป็นคนกลางได้จบลงหรือไม่" นายชวลิตกล่าว และว่า เมื่อรับว่าเป็นนักการเมืองและอยู่ในอำนาจในฝ่ายบริหาร จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีคุณธรรม จริยธรรม ไม่เอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นที่ไม่ใช่พวกพ้องของตน 
    ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรค แถลงภายหลังการประชุมทีมกฎหมายว่า ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ว่ามีเนื้อหาขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ และสมควรจะดำเนินการในช่องทางใด โดยเห็นว่า คสช.ไม่สามารถอ้างคำสั่งตามมาตรา 44 ได้ เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขที่กำหนดว่าต้องเป็นเรื่องเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูป เสริมความสมานฉันท์ของประชาชน ป้องกัน ระงับหรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคง แม้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดช่องให้ใช้มาตรา 44 ได้ แต่ก็ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามเงื่อนไขที่จะใช้ได้
    นายวิรัตน์กล่าวต่อว่า นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นผู้ยืนยันเองว่าคำสั่ง คสช.แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ก็ยืนยันในลักษณะเดียวกัน ดังนั้นฝ่ายกฎหมายพรรคจึงเห็นว่าหากมีการตรากฎหมายที่จำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคล หรือเพิ่มภาระของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 26 เป็นเรื่องที่ขัดรัฐธรรมนูญ โดยอาจยื่นศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงหรือผ่านช่องทางของผู้ตรวจการแผ่นดินก็ได้
    ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวถึงกรณีที่นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรค ปชป. เสนอให้พรรคประชาธิปัตย์จับมือกับพรรคเพื่อไทยว่า ได้ยืนยันหลายครั้งแล้วว่าพรรคมุ่งเตรียมความพร้อมเพื่อขอเสียงสนับสนุนจากประชาชนให้มากที่สุด การจะจับมือกับใครต้องยึดอุดมการณ์ที่ตรงกัน ซึ่งขณะนี้ไม่มีความคิดเรื่องนี้.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"