พอองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่ายุโรปได้กลายเป็น "ศูนย์กลางแห่งการแพร่ Covid-19 ของโลก" แทนประเทศจีนแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปและความน่าสยองก็เพิ่มดีกรีขึ้นหลายเท่าทันที
การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสที่เมืองจีนพ้นจุดสูงสุดแล้ว กำลังทรงตัว แต่ยุโรปหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นอิตาลี, สเปน, ฝรั่งเศส และอังกฤษกำลังกลายเป็นแหล่งแพร่โรคร้ายใหม่
โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแต่อย่างใด...หรือถ้าหากเจ้าไวรัสตัวนี้กระโดดไปแพร่อย่างกว้างขวางในทวีปแอฟริกา จะเกิดการ "ลามโลก" ของจริง
ทั้งต้องไม่ลืมว่าสถานการณ์การแพร่เชื้อนี้ที่อิหร่านยังไม่ได้บรรเทาเบาบางลงแต่อย่างใด
หากโรคร้ายนี้แพร่จากอิหร่านไปยังประเทศอื่นๆ รอบด้าน ตะวันออกกลางก็อาจจะกลายเป็นอีกจุดหนึ่งที่ควรจะต้องมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
และไม่ใช่ว่าเราจะวางใจเกาหลีใต้กับญี่ปุ่นได้ เพราะทั้งสองประเทศนี้ยังไม่ได้ส่งสัญญาณของการ "ทรงตัว" แต่อย่างใดทั้งสิ้น ตัวเลขคนป่วยและตายยังวิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน
วันนี้จึงต้องสอดส่ายสายตาด้วยความระแวดระวังไปทั่วโลกโดยที่ไม่อาจจะวางใจจุดไหนได้เลย...
เพราะแม้แต่จีนเอง ผู้นำที่นั่นก็ยังตอกย้ำถึงความสำคัญของการต้องมีความเข้มข้นในการบังคับใช้มาตรการควบคุมอย่างต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่งทีเดียว
แต่ภาพที่จีนส่งคณะหมอกับผู้เชี่ยวชาญและอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปช่วยอิตาลีทั้งๆ ที่ตัวเองเพิ่งจะลุกขึ้นยืนได้นั้น ก็ต้องถือว่าเป็นการแสดงสปิริตของความพร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่นของปักกิ่งที่น่าชื่นชม
ที่น่าห่วงก็คือสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังส่งสัญญาณสับสนอยู่ว่าจะเอาจริงเอาจังแค่ไหนในการสกัดไวรัสตัวนี้
ทรัมป์ประกาศ "ภาวะฉุกเฉิน" เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากแสดงออกถึงความเฉื่อยชาและไม่ยอมรับความเป็นจริงมาหลายสัปดาห์
แต่คำสั่งห้ามการเดินทางจากยุโรป (ยกเว้นสหราชอาณาจักร) มาสหรัฐฯ 30 วันนับตั้งแต่เที่ยงคืนวันศุกร์ (เวลาที่นั่น) สร้างความวุ่นวายสับสนมากกว่าความมั่นใจ
ถึงวันนี้ก็ยังไม่แน่ชัดว่าในทางปฏิบัติจะตีความคำสั่งนี้อย่างไร
ที่ห้ามคือคนถือพาสปอร์ตยุโรป หรือคนที่ไปพำนักอยู่ที่นั่น?
ถ้าคนในยุโรปมาขึ้นเครื่องบินที่อังกฤษ จะเข้าอเมริกาได้หรือไม่?
และที่บอกว่าคำสั่งนี้ใช้เฉพาะ "คนต่างด้าว" ไม่รวมถึงคนอเมริกันนั้น แปลว่าอะไร?
คนอเมริกันที่อยู่ยุโรปมีภูมิต้านทานต่อไวรัสตัวนี้มากกว่าคนยุโรปหรืออย่างไร?
คนอเมริกันไม่แพร่เชื้อที่บ้านตัวเองอย่างนั้นหรือ?
และเมื่อสหภาพยุโรปออกแถลงการณ์แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งต่อ "การตัดสินใจแต่เพียงฝ่ายเดียว" ของทรัมป์โดยไม่มีการปรึกษาหารือกับยุโรปก่อนนั้น จะมีผลต่อความสัมพันธ์ ความร่วมมือ และการค้าขายกับการลงทุนอย่างไร?
เมื่อ WHO บอกว่ายุโรปได้กลายเป็น "ศูนย์แพร่เชื้อ" แทนจีนแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เพราะองค์การอนามัยโลกก็ได้ประกาศ Pandemic หรือ "โรคลามทั่วโลก" แล้ว ถือว่าเป็นการเตือนภัยระดับสูงสุด แล้วจะยังสามารถยกระดับการเตือนภัยคุกคามได้สูงกว่านี้อีกหรือ?
เมื่อทรัมป์สร้างความปั่นป่วนต่อยุโรปหนักหน่วงอย่างนี้ คำถามต่อไปก็คือว่าเศรษฐกิจโลกจะดำดิ่งลงไปมากกว่านี้หรือไม่ อย่างไร
อิตาลีเจอศึกหนักสุดในยามนี้ เฉพาะวันศุกร์ที่ผ่านมาวันเดียว มีคนตายถึง 250 ทำให้ยอดคนเสียชีวิตพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 1,266 และคนป่วยสูงถึง 17,660
สเปนตามมาติดๆ ด้วยตัวเลขคนตายวันเดียวกระโดดขึ้น 50% ไปอยู่ที่ 120 และคนติดเชื้อมีมากถึง 4,231 คน
สเปนประกาศภาวะฉุกเฉินพร้อมๆ กับสหรัฐฯ เพื่อสามารถใช้งบประมาณพิเศษในการสกัดไวรัสตัวนี้...และหาทางปิดชายแดนกับเพื่อนบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นรวดเร็วเกินกว่าที่จะตั้งรับได้
ตัวเลขทั่วโลกวันนี้ มีคนตายแล้วกว่า 5,000 คนและติดเชื้อแล้วกว่า 132,500 คน และยังไม่รู้ว่าจะเริ่มไต่ใกล้ "จุดสูงสุด" เมื่อใด
เหตุที่ความกลัวกระจายตัวไปกว้างขวางขึ้น ก็มีสาเหตุมาจากความตระหนักอย่างที่คุณคริสเตียน ลาร์การ์ด กรรมการผู้จัดการธนาคารกลางแห่งยุโรป ออกมาแสดงความเห็นหลังจากทรัมป์ประกาศห้ามการเดินทางจากยุโรปเข้าอเมริกาว่า
"ไวรัสไม่มีพาสปอร์ต....และไม่รู้จักเส้นแบ่งชายแดนของประเทศนะคะ"
พิสูจน์จากของจริงแล้วว่าเจ้า Covid-19 มีความยุติธรรมตรงที่ว่า มันโจมตีทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน เป็นยาจกหรือนายกรัฐมนตรี!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |