นายกฯตรวจเยี่ยมรพ.ราชวิถี มอบยารักษาโควิด-19 ย้ำไทยยังควบคุมได้


เพิ่มเพื่อน    

12 มี.ค.63 - เวลา 15.00 น. ที่โรงพยาบาลราชวิถี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เดินทางตรวจเยี่ยมอาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถี ซึ่งเป็นอาคารใหม่ เปิดดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการได้ประมาณ 1 เดือน พร้อมให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการรักษาไวรัสโควิด-19 หากสถานการณ์รุนแรงยกระดับขึ้น โดยมี นพ.สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี ให้การต้อนรับ

โดยเมื่อมาถึงนายกฯ ได้ชมการเต้นออกกำลังกายของโรงพยาบาล ซึ่งมีเป็นประจำทุกวันในเวลา 15.00 น. ขณะเดียวกันได้มีประชาชนให้การต้อนรับและให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี

จากนั้นนายกฯได้ตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองเทอร์โมสแกน ตรวจเยี่ยมห้องตรวจแยกโรคระบบทางเดินหายใจ (ARI) และตรวจเยี่ยมห้องผู้ป่วยแยกโรคผ่านระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (ซีซีทีวี) ที่ตึกอายุรกรรม ชั้น 3 พร้อมมอบกระเช้าให้กำลังใจแก่ตัวแทนญาติผู้ป่วย แพทย์และพยาบาล รวมถึงมอบยาต้านไวรัสเฟวิลาเวียร์ 10,000 เม็ด ซึ่งองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ติดต่อซื้อจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้แก่โรงพยาบาลของกรมการแพทย์ เพื่อนำไปแบ่งปันให้แก่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร และเครือข่ายโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลรามาธิบดี และโรงพยาบาลศิริราช ขณะเดียวกัน นายกฯ ยังได้ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนายารักษาของโรงพยาบาลราชวิถี สูตรยาค็อกเทล (Cocktail) ของไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการตรวจเยี่ยมนายกรัฐมนตรีกล่าวกับบุคลากรของโรงพยาบาลขอให้ช่วยกันแก้ปัญหา เพราะโรคโควิด19 ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของไทย ทุกคนทุกโรงพยาบาลจะรักษาได้ ขณะที่รัฐบาลมีมาตรการตรวจคัดกรองอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะคนที่มาจาก 4 ประเทศและมีระบบติดตามตัว และตลอดการตรวจเยี่ยม เจ้าหน้าที่และผู้ที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลตะโกนให้กำลังใจในการทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีให้สู้ต่อไป ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอบว่า “ท้อไม่ได้อยู่แล้ว”


ต่อมาเวลา 16.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยม ว่า จากการคัดแยกตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และมารักษา เข้าห้องความดัน และมีผู้ป่วยรักษาตัวจนหาย อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ สถานการณ์ในวันนี้เรายังควบคุมได้อยู่ ถึงแม้จะมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลแต่ละวันเป็นเรื่องปกติ สิ่งสำคัญหากทุกคนรู้ว่าตัวเองไม่สบายจะต้องมาพบแพทย์ ตรวจสอบตัวเอง และหากพบผลเป็นบวกคือติดโรค ทางแพทย์จะเป็นผู้ติดตามว่าในระยะเวลา 5-7 วัน ผู้ติดเชื้อได้เดินทางไปที่ไหนมาบ้าง ระยะนี้จึงเป็นช่วงที่ต้องระมัดระวัง ซึ่งหลายกรณีที่เกิดขึ้นมาจากการรวมกลุ่มกันไม่ระมัดระวังตัวเอง ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน สูบบุหรี่มวนเดียวกัน ขณะที่ต่างประเทศเองก็ได้เปลี่ยนจากการจับมือมาใช้การไหว้แทนเพื่อลดการสัมผัสเชื้อผ่านทางมือ ซึ่งการไหว้เป็นสิ่งที่น่าปลื้มใจ นอกจากช่วยลดการติดโรคยังดูอ่อนน้อมสวยงาม

นายกฯ กล่าวอีกว่า ขณะนี้เรามีมาตรการตั้งแต่การคัดกรอง คัดแยก การรักษาพยาบาล การส่งตัวไปกักกันในพื้นที่14วัน รวมถึงมีกฎหมายให้เจ้าพนักงานตรวจติดตามผู้ที่ถูกกักกัน ตรวจทุกวันและต้องรายงาน 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีโปรแกรม ติดตามตัวผ่านแอพพลิเคชัน ซึ่งนำไปสาธิตที่สนามบินแล้ว และทุกหน่วยงานได้เห็นชอบร่วมกันว่าทุกหน่วยงานจัดเก็บข้อมูลของทุกคนที่ผ่านการเข้าออกจากสนามบินในระยะ 14 วัน เพื่อติดตามตัวได้ผ่านทางโทรศัพท์ แม้จะปิดเครื่องก็ตามเจอ ปิดเมื่อไหร่ก็รู้ ซึ่งทั้งหมดเป็นมาตรการที่จำเป็นต้องทำให้รัดกุมมากที่สุด เมื่อเช้าที่ผ่านมาได้มีการประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลร่วมกับคณะเล็ก ขอให้ทุกคนสบายใจว่าสิ่งที่เราได้ทำคือการยกเลิกการขอตรวจลงตราวีซ่าเพื่อเข้าประเทศที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง(VISA on Arrival หรือVOA) เป็นมาตรการที่เรามีข้อตกลงในเรื่องของ VOA อย่างเดียว ส่วนประเทศที่เราประกาศให้เป็นเขตติดโรคอันตรายไปก่อนหน้านี้คือ จีน เกาหลี อิหร่าน และอิตาลี จะต้องเข้มงวดสุขภาพ ตรวจโดยแพทย์ตั้งแต่ต้นทางมาแล้ว และเมื่อถึงสนามบินต้องผ่านการตรวจคัดแยกและดูอาการ ส่วนที่เหลือก็ให้ไปแยกกักตัวที่ภูมิลำเนา ยื่นยันว่าตอนนี้เราทำครบทุกระบบ ส่วนหลายคนที่กังวลว่า18ประเทศจะช่วยลดกลุ่มคนที่เสี่ยง ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานว่ามีการยกเลิกเที่ยวบินไปหลายร้อยเที่ยว และคนที่มาประเทศไทยในช่วง1-2วันภายหลังประกาศยกเลิก VOA ลดเหลือ 1,000 คน จากวันละ 6,500 คน ซึ่งมาตรการไทยค่อยๆเข้มข้นตามลำดับ


ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้ประชาชนสับสนในเรื่องของข้อมูลโดยเฉพาะเรื่องการปิดศูนย์ควบคุมโรคเพื่อกักกันและติดตามดูอาการการติดเชื้อโควิด-19 นายกฯกล่าวว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มหาดไทย อาจจะกล่าวเร็วไปนิด คำว่าปิดหรือเปิดศูนย์ขอร้องว่าอย่าไปสนใจ ทุกศูนย์ยังมีชื่อเป็นศูนย์อยู่ทุกแห่ง ศูนย์ดังกล่าวถ้าไม่มีคนอยู่ก็เท่ากับศูนย์นั้นหยุด แต่ศูนย์เหล่านี้ต้องพร้อมรับสถานการณ์หากมีความจำเป็นต้องสามารถเปิดได้ทันที ไม่ใช่ว่าจะปิดหายไปเลย ต้องมีความพร้อมที่จะรับสถานการณ์ต่อไป อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่คาดการณ์ไม่ได้ก็เป็นไปได้ ก็ต้องนำมาควบคุมที่ศูนย์ดังกล่าวอีก อย่าลืมว่าวันนี้มีคนเข้าออกผ่านด่านต่างๆหลายกลุ่ม แม้เราจะมีการตรวจตามท่าอากาศยาน สนามบิน ท่าเรือ แต่ก็ยังมีอีกหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา หรือคนที่มาจากต่างประเทศไปเที่ยวแล้วยังไม่ได้กลับมา ก็ต้องเจอมาตรการคัดกรอง แต่ถ้ามาจาก 4 ประเทศเสี่ยงต้องถูกควบคุมตัว 14 วันแน่นอน

เมื่อถามว่า มาตรการยกเลิกชั่วคราวการตรวจลงตราวีซ่าเพื่อเข้าประเทศที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง(VISA on Arrival หรือVOA) จะเริ่มได้เมื่อไหร่ นายกฯ กล่าวว่า ยกเลิกไปแล้ว และไม่ต้องเข้าที่ประชุม ครม.เพราะเป็นกฎกระทรวง แต่ทั้งหมดต้องขออนุมัติมายังตนในฐานะผอ.ศูนย์การบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโคโรนา(โควิด-19) ที่ต้องรับทราบ ถ้าอนุมัติเห็นชอบก็ประกาศใช้ได้ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค.

เมื่อถามว่า จะต้องมีการปรับการให้ข่าวหรือไม่พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า จะต้องปรับอะไร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสื่อไปถามทั่วไปหมด วันนี้ข้อมูลข่าวสารก็มี 2 จุด คือที่ทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ถือเป็นศูนย์ที่มีหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจน แต่ก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ แต่ถ้าสื่อไปถามสะเปะสะปะซึ่งบางคนไม่เข้าใจ ขอร้องสื่อถามให้น้อยลงหน่อยและถามให้ถูกคน ถ้าข้อมูลไม่ตรงให้ถามมายังศูนย์ทั้ง 2 แห่ง

เมื่อถามถึงกรณีปัญหาระหว่างกรมศุลกากรและกรมการค้าภายใน นายกฯกล่าวว่า อยู่ระหว่างการพูดคุยกัน

นายกฯ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามเพจต่างๆที่นำเสนอข้อมูลตนในฐานะนายกฯก็ขอชื่นชมเพจทุกเพจที่ทำประโยชน์โดยชี้ข้อสังเกตต่างๆ

“แต่สิ่งที่นายกฯป้องกันได้ไม่ได้ก็คือ การที่ไปกล่าวอ้างชื่อ ถือเป็นสิทธิของประชาชนทุกคนที่เขาจะฟ้องหรือไม่ฟ้องเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่ว่านายกฯชมแล้วจะไม่ต้องฟ้อง มันไม่ใช่ เพียงแต่ว่าใครทำให้เกิดประโยชน์นายกฯก็ชมทั้งนั้น ทุกเพจ จึงขอให้ระมัดระวังการกล่าวอ้างชื่อบุคคล ชื่อหน่วยงานต่างๆ เพราะเขามีสิทธิ์ฟ้องตามกฏหมายก็ขอให้ระมัดระวัง สื่อก็เช่นกัน”นายกฯกล่าว


ทั้งนี้ ก่อนเดินทางกลับ นายกฯ ได้ร่วมถ่ายรูปกับทีมแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ โดยกล่าวว่า "ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน" พร้อมทั้งชูสองนิ้วและระบุอีกว่า เราจะสู้ไปด้วยกันทุกกระทรวง นายกฯจะนำขับเคลื่อนเอง การแก้ทุกปัญหาจะแก้ได้ด้วยความรักความสามัคคี ด้วยความช่วยเหลือ การสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน อย่าไปหาจุดของความขัดแย้งมาทำให้บานปลายไปทุกอัน อะไรที่เป็นประโยชน์ ตนก็รับฟังทั้งหมด วันนี้ขอให้ทุกคนช่วยกัน และขอความร่วมมือจากสื่อช่วยลดความขัดแย้ง สร้างความเข้าใจ สิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งในเรื่องอื่นๆตนก็ไม่ยุ่งกับสื่อ แต่ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของกฎหมายไว้ด้วย ตนไม่ได้ขู่ และยังไม่ได้ฟ้องใครสักคนเลย ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องระมัดระวังตัวเอง อย่าไปอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ใครมาจากต่างประเทศก็อย่าปิดบังกัน ต้องรับผิดชอบต่อสังคม


"ผมขอฝากไปถึงนักท่องเที่ยว ดารา เซลเลบ รวมถึงไฮโซ บางทีกลับมาแล้วก็โพส ตัวเองแม้จะผ่านการคัดกรองแล้ว แต่กักตัวเอง14 วันหรือยัง ไม่ใช่ไปแพร่อย่างนี้อย่างนั้น แล้วมีปัญหาขึ้นมา กลายเป็นว่าคนพวกนี้ถูกกักตัวหรือเปล่า ขอร้อง ผมไม่ได้ตำหนิอะไรท่าน แต่ท่านต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้ประชาชน" นายกฯกล่าว


เมื่อถามว่า ต้องคุมเข้มสถานบันเทิงหรือไม่ หลังพบผู้ติดเชื้อ11 รายล่าสุด นายกฯกล่าวว่า ก็ต้องควบคุม ทุกสถานบันเทิง ทุกโรงแรมต้องมีมาตรการคัดกรอง มีเครื่องวัดอุณหภูมิ เจลล้างมือ และหน้ากากอนามัย รวมถึงการดูแลทำความสะอาดภายในสถานที่ เราต้องดูทั้งสองด้าน เพราะถ้าไม่ให้ทำอะไรเลย เขาก็ไม่มีรายได้เลย ส่งผลให้เกิดการลดการจ้างงาน แล้วเขาจะไปหางานทำที่ไหน ต้องเห็นใจเขาด้วย ดังนั้น สถานประกอบการเหล่านี้มีต้นทางก็คืออาหาร และเครื่องดื่ม ถ้าทำอะไรไม่ได้เลย ก็ไม่มีรายได้ รัฐบาลก็ไปอุดหนุนไม่ได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามทุกส่วนต้องทีมาตรการของตัวเอง ดูอย่างมาตรการของห้างสรรพสินค้าเป็นต้น อย่างน้อยต้องเป็นแบบนั้น หรือมากกว่า เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะปลอดภัย

เมื่อถามอีกว่า การจัดงานเทศกาลสงกรานต์ ที่หลายฝ่ายเป็นห่วง นายกฯกล่าวว่า ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา วันนี้มีหลายกระแส หลายคนบอกไม่ต้องจัด แต่อีกหลายคนบอกให้จัดเฉพาะเรื่องการทำบุญ กำลังพิจารณาอยู่ ก็ขึ้นอยู่กับประชาชนต้องการอย่างไร รัฐบาลก็ต้องหารือกับกระทรวงสาธารณสุขและทีมแพทย์ว่าควรหรือไม่ควรจัดอย่างไร

"สำคัญที่สุดคือการป้องกันการแพร่ระบาดไปในระยะที่3 ยืนยันอีกครั้งว่ายังไม่ถึงขั้นที่3 วันนี้เรามาดูสถิติการเพิ่มขึ้นในต่างประเทศสูงขึ้น และเขายอมรับมาว่าประเทศไทยทำได้ดี ถือว่าดีมากสำหรับเขา ของเราจะเริ่มเข้มข้น หลายคนก็ทราบอยู่แล้ว ผมเปิดดูเมื่อกี้ เยอรมันก็ชมเรา หลายประเทศบอกเขาไม่ได้ทำแบบเรา ก็เลยมีการติดเชื้อกระจายมากขึ้น อันนั้นคือสิ่งที่เราต้องระวัง ไม่ให้มีการแพร่เชื้อในพื้นที่โดยคนของเราเองที่อยู่ในประเทศ เรามีมาตรการกักตัวตามลำดับมา แล้วถ้ามันมากกว่านี้จะทำอย่างไร ไม่ใช่ว่าทำอย่างนี้แล้วดีที่สุด มันอาจจะยังไม่ดี หรือสมบูรณ์ในอนาคตก็ได้ ไอ้ปิดเปิดศูนย์เลิกพูดเสียที มันก็เป็นศูนย์อยู่นั่นแหละ"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า กรณีที่มีคนไปพ่นยาฆ่าเชื้อให้ประชาชนที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สามารถทำได้หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ต้องระวัง เพราะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ เเต่ก็ไม่ควร ตนต้องสั่งไปว่าอย่าทำอย่างนั้น เขาให้พ่นพื้นที่ก็พ่นไป แต่คนเดินมาก็หยุดลง หรือถ้าเห็นเขากำลังพ่น คนก็อย่าเดินเข้าไปตรงนั้น มันก็แค่นี้ ตนคงไม่ต้องไปพ่นเอง รู้ว่าควรต้องทำอะไรก็ทำไป อย่าไปขยายความเรื่องไม่เป็นเรื่อง

เมื่อถามว่า แนวโน้มผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า"ก็พูดอยู่เมื่อกี้ว่ายังควบคุมได้ไม่ใช่หรือ ถ้ามันเยอะขึ้นมา ก็ต้องไปที่ศูนย์ตรงนั้น มีโรงพยาบาลเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมา ทั้งทหาร ตำรวจ จะไปช่วยกันตรงนั้น ต้องเชื่อมั่นก่อนสิ ถ้าไม่เชื่อมั่นจะทำอะไรได้"


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"