แม่นยิ่งกว่า “หมอฟันธง” เพราะเคยบอกไว้แล้วว่าสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อ “ไวรัสโคโรนา” สายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19” นั้นต่อไปจะออกอาการหนักที่ยุโรป และ ให้จับตาที่อิตาลีตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งก็เป็นจริง เพราะตัวเลขล่าสุดของผู้ติดเชื้อทั่วโลก 118,180 ราย เสียชีวิต 4,296 รายนั้น หากไม่นับดินแดนมังกรที่เป็นต้นตอไวรัสที่นับวันการเพิ่มขึ้นจะอยู่ในอัตราถดถอยแล้ว จะเห็นได้ว่าประเทศนอกจีนใน ระดับท็อปเท็นนั้นเป็นชาติยุโรปเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น อิตาลีติดเชื้อ 10,149 ราย เสียชีวิต 631 ราย, อิหร่าน 8,042 ราย เสียชีวิต 291 ราย, เกาหลีใต้ 7,775 ราย เสียชีวิต 60 ราย, สเปน 1,622 ราย เสียชีวิต 35 ราย, ฝรั่งเศส 1,784 ราย เสียชีวิต 33 ราย, เยอรมนี 1,296 ราย เสียชีวิต 2 ราย และ ที่น่าสนใจ รวมทั้งต้องติดตามแบบตาไม่กะพริบคือ สหรัฐอเมริกา ที่ตัวเลขติดเชื้อพุ่งมาอยู่ที่ 731 ราย เสียชีวิต 29 รายแล้ว...๐

ในขณะที่สถานการณ์ในไทยตัวเลขผู้ติดเชื้อก็เพิ่มขึ้นอีก 6 ราย ซึ่งที่น่าปริวิตกคือกรณีชายอายุ 21 ปี ที่ทำงานสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่สนามบินสุวรรณภูมิในการทำหน้าที่คัดกรองบรรดาผีน้อยทั้งหลาย รวมทั้ง อีกรายก็น่าติดตามที่มาที่ไปเช่นกัน คือ ชาวสิงคโปร์ที่เป็นเจ้าของอาหารที่แม้เริ่มป่วยช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม แต่หากเป็นไปตามข้อมูลผู้ป่วยที่ระบุว่า เดินทางเข้าไทยตั้งแต่ ก.พ.แล้วไม่ได้ไปประเทศเสี่ยงใดๆ เลยนับจากนั้น ก็น่าคิดว่าติดเชื้อโควิด-19 และมาแสดงอาการในตอนนี้ได้อย่างไร...๐

เชื่อว่าอีกไม่นานไทยอาจเจริญรอยตาม “ยุโรป” และประเทศอันดับต้นๆ ก็ว่าได้ เพราะล่าสุด “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ได้เรียกประชุมด่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ยกเลิกศูนย์กักกันเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 ของรัฐทั่วประเทศ โดย ให้ผู้ที่เดินทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยงไปกักตัวที่บ้านแทน! แม้จะมีทุบโต๊ะบอกว่าจะให้เจ้าหน้าที่ดูแลเข้มงวดพร้อมให้เอาผิดทันทีหากไม่ให้ความร่วมมือ เพราะต้องไม่ลืมว่า เร็วๆ นี้ยังเจอกรณีผีน้อย 80 ชีวิตหนีด่านกักโรคเลย แล้วจะเชื่อถือเชื่อมั่นว่าจะมีความรับผิดชอบตัวเองครบ 14  วันได้อย่างไร เพราะต้องไม่ลืมคำที่ว่า “ทำอะไรตามใจได้คือไทยแท้” ฉะนั้นจึง เตรียมตัวเตรียมใจเข้าสู่ระยะที่ 3 ได้เลย...๐

โควิด-19 แม้เป็นโรคติดต่อ แต่เมื่อมาเจอ “ไทยแลนด์โอนลี่” ก็กลายเป็นประเด็นการเมืองจนได้ ที่สำคัญตัวละครหน้าเดิมอย่าง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรฯ ซึ่งเพิ่งผ่านญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ ในคะแนน เมื่อเทียบกับอีก 5 รัฐมนตรีก็ถูกโยงเข้ามาเอี่ยวกับหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้นของ “เสี่ยบอย ไนท์มาร์เก็ต” หรือ “ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี” จนได้ เรียกว่า พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกเสียจริงๆ...๐

ที่สำคัญ “หน้ากากอนามัย” ยังกลายเป็นประเด็นที่อาจถึงขั้นคว่ำ “รัฐนาวา” ลุงตู่เสียด้วย เพราะบรรดาลูกหาบแม่พระธรณีบีบมวยผมถึงกับประกาศ “ไม่พายเรือให้โจรนั่ง” มาให้เป็นประเด็นร้อนฉ่าทีเดียว ซึ่ง ล่าสุด “อันวาร์ สาและ” ส.ส.ปัตตานี ซึ่งเป็น 1 ใน 17 เสียงของ ปชป.ที่ออกมาแถลงผลหลังโหวตลงมติให้ “ร.อ.ธรรมนัส” แบบตะขิดจะขวงใจ ออกมาบี้ให้ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เร่งกำหนดวันเพื่อกำหนดท่าที พร้อมทั้งยังสำทับมาหากดึงเรื่องให้ชักช้าอาจเกิดกรณีเลือดไหลออกมาซ้ำรอยเดิมอีก...๐

ไม่รู้ว่าการยกสำนวน “พายเรือให้โจรนั่ง” เป็นความตั้งใจเพื่อหวังเลื่อยขากันเองใน ปชป.ในการชิงเก้าอี้การปรับคณะรัฐมนตรีที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หรือเป็นการ “ตีปลาหน้าไซ” ส่งไปถึงพรรคพลังประชารัฐว่าห้ามแตะโควตารัฐมนตรีของพรรค เพราะหากมีการแตะต้องอาจมีการถอนยวงจากพรรคร่วมรัฐบาลก็ได้ งานนี้คงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่ากระสุนนัดเดียวจะยิงนกได้สองตัวหรือจะยิงใส่เท้าตัวเอง เพราะ อย่าลืมว่าทุกวันนี้เรื่องการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยนั้นอยู่ในมือของรัฐมนตรีพรรค ปชป.แบบไม่มีพรรคไหนเกี่ยวข้อง เลยนะจ๊ะจะบอกให้...๐

เรื่องว่าด้วยหน้ากากอนามัยไม่ใช่มีผลสะเทือนแบบข้ามพรรคอย่างเดียว แค่ใน "พลังประชารัฐ" ก็เป็นการปีนเกลียวระหว่างกันทั้ง “สิระ เจนจาคะ” และ “ไผ่ ลิกค์” ซึ่งแม้จะมีเสียงของผู้หลักผู้ใหญ่อย่าง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคลากสังขารมาเป็นตัวเชื่อมแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนทั้งคู่ยังไม่หายกินแหนงแคลงใจกันซักเท่าใด ซึ่งเรื่องก็วกกลับมาที่คนชื่อ “ธรรมนัส” อีกระลอกแล้ว เพลานี้บอกได้อย่างเดียวว่าต้องไปรดน้ำมนต์ 9 วัดเสียแล้ว เพราะกลายเป็นพื้นที่กระสุนตกจากทุกสารทิศแทน “ลุงป้อม” ไปแล้วโดยปริยาย...๐

...ท.ศักดิ์