สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ยังเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ เนื่องจากยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งในไทยและในหลายประเทศทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวยังได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจหลายประเทศกำลังได้รับผลกระทบอย่างมาก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย
ทั้งนี้ หลายหน่วยงานได้ออกมาประเมินถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย โดย "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ประเมินว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะฉุดให้เศรษฐกิจไทยในปี 2563 เติบโตต่ำที่สุดในรอบ 11 ปี ตั้งแต่วิกฤติซับไพรม์ในปี 2552 โดยคาดว่าจีดีพีปีนี้จะลดลงมาอยู่ที่ 0.5% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.7%
และการแพร่ระบาดในครั้งนี้ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงเชิงลบมากขึ้น โดยจากความกังวลของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อรวมกับมาตรการที่เข้มงวดในการสกัดกั้นการแพร่ของเชื้อในประเทศต่างๆ ย่อมส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งการผลิต การบริโภค และการลงทุนทั่วโลกต้องชะงักงัน
สำหรับประเทศไทย ภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกจะได้รับผลกระทบมากที่สุด จากคาดการณ์ที่ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าไทยจะ “หดตัวลึกในช่วงครึ่งแรกของปี” และจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ไทยสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยว คิดเป็นมูลค่าราว 4 แสนล้านบาท ขณะที่ภาคการส่งออกปีนี้ คาดว่าจะติดลบ 5.6% เนื่องจากการแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกทรุดตัวอย่างมาก อีกทั้งยังก่อให้เกิดดิสรัปชั่นในห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห่วงโซ่อุปทานของจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าขั้นต้นและสินค้าขั้นกลางของไทยอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ยังต้องยอมรับว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคในไทย ส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนในไทยยังมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงเช่นเดียวกัน จากปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น อาจเป็นผลให้นักลงทุนไทยและต่างชาติมีความเป็นไปได้ที่จะชะลอการลงทุนในไทย ส่งผลให้การลงทุนจากภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ "ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ : TISCO ESU" ได้ประเมินว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ ทั้งจากการแพร่ระบาดนอกประเทศจีน และตัวเลขเบื้องต้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางผ่าน 5 สนามบิน ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, หาดใหญ่ และภูเก็ต ในเดือน ก.พ.-มี.ค.2563 ที่หดตัวลงแรงกว่าที่ประเมิน โดยในเดือน ก.พ.หดตัว 46% เมื่อเทียบกับปีก่อน และในระหว่างวันที่ 1-6 มี.ค.2563 หดตัวถึง 58% ซึ่งจากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว ทำให้มีการปรับลดสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจากเดิมคาดว่าจะลดลงเพียง 2.2 ล้านราย หรือลดลง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นลดลง 7.3 ล้านราย หรือลดลง 18% ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในปีนี้ 2563 จะอยู่ที่ระดับ 32.5 ล้านคนเท่านั้น
โดยสถานการณ์การท่องเที่ยวทั้งต่างชาติเที่ยวไทยและไทยเที่ยวไทยที่แย่ลง จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ของไทยมากที่สุด เนื่องจากเป็นแหล่งพื้นที่หลักของนักท่องเที่ยว โดยกว่า 80% ของเม็ดเงินการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเกือบ 60% ของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยกระจุกตัวใน 2 ภูมิภาคดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยเสี่ยงทั้งหมดทำให้ TISCO ESU ได้ปรับลดคาดการณ์จีดีพีไทยในปี 2563 ลงมาอยู่ที่ 0.8% จากคาดการณ์เดิมที่ 1.7% ซึ่งเป็นระดับการเติบโตของจีดีพีที่ต่ำที่สุดในรอบ 9 ปี โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปีนี้ ก่อนที่จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 และจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ จากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทำให้ TISCO ESU คาดการณ์ว่าไม่เกินช่วงไตรมาส 2/2563 "คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)" จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกอย่างน้อย 0.25%.
ครองขวัญ รอดหมวน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |