ผลกระทบโรคระบาดต่อธุรกิจ : ความจริงก็ ‘ดราม่า’ เกินพอแล้ว


เพิ่มเพื่อน    

    ใครที่เป็นผู้ประกอบการเองหรือมีเพื่อน, ญาติพี่น้องทำธุรกิจระดับใหญ่, กลาง, เล็กคงกำลังเจอกับภาวะ “ตึงเครียด” อันเกิดจาก Covid-19 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

                รัฐบาลจะวิเคราะห์ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคอย่างไรก็คงสู้เข้าใจปัญหาจริงๆ ของผู้ทำมาหากินอยู่วันนี้

                ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและโรงแรมบอกผมว่า ผลกระทบครั้งนี้หนักกว่าตอน SARS และ “ต้มยำกุ้ง” ตรงที่มันกระทบคนทุกระดับชั้น

                ตั้งแต่เจ้าของและลูกจ้างโรงแรมห้าดาวมาถึงโรงแรมสามดาว...ร้านอาหาร, ร้านนวด, ร้านกาแฟ ตลอดถึงแม่ค้าขายลูกชิ้นปิ้งข้างถนน

                คลื่นยักษ์ชื่อ Covid-19 นี้หนักหน่วงรุนแรงและยืดเยื้อ

                วันก่อนผมอ่านเจอในโซเชียลมีเดียข้อเขียนของผู้ประกอบการคนหนึ่งที่ขอร้องสื่ออย่าได้กระพือข่าวเรื่องนี้ให้เป็น “ดราม่า” เกินเหตุเลย เพราะสถานการณ์จริงๆ ก็ “ดราม่า” หนักพอแล้ว

                บางตอนของ “จดหมายเปิดผนึก” ใน Facebook ชิ้นนั้นอธิบายความได้เห็นภาพของจริงทีเดียว

                จดหมายเปิดผนึกถึงสื่อมวลชนที่รัก

                ข่าวที่ออกมามีแต่สร้างความตระหนก กังวล เครียด ตื่นกลัว ไปกับเจ้าไวรัส ที่เราควรกลัวถูกแล้ว แต่กลัวแล้วตั้งรับ ป้องกัน ปลอดภัย เพื่อที่จะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ ขอความกรุณาสื่อช่วยเห็นใจในหลายๆ บริษัทที่อยู่ๆ ก็ได้รับผลกระทบจาก “วิกฤติไวรัสโคโรนา COVID-19” ยังกับ “วิกฤติต้มยำกุ้ง”

                เอาจริง เรายังใช้ชีวิตประจำวันปกติกันอยู่นะคะ แต่ที่ต้องเพิ่มมาคือ การล้างมือที่ต้องบ่อย (มาก) + ใส่หน้ากากอนามัยเวลาไปไหนต่อไหน (เรียกผิดเป็นผ้าอนามัยบ่อยมาก) + หลีกเลี่ยงการไปประเทศกลุ่มเสี่ยงตามประกาศของกรมควบคุมโรค และหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรงสม่ำเสมอ

                หากอยากให้เศรษฐกิจกลับมาเหมือนเดิม ขอฟ้าขอเทวดาไม่มีประโยชน์เท่าวอนขอสื่อมวลชนออกข่าวรายงานไวรัสโคโรนาได้ แต่อย่าสร้าง "หัวข้อที่เรียกยอดไลค์" มากกว่ารายงานข้อเท็จจริงคือ ตอนนี้เศรษฐกิจ "ชะงัก" ของชะงักอีกทีแล้วของจริง

                - ธุรกิจท่องเที่ยว เช่น โรงแรม เริ่มเรียกพนักงานให้ Leave without pay และสมัครใจลาออก ไม่ใช่แค่เครือ Centara มากกว่านั้นเยอะ แต่เจ้าของมัวแต่คิดหาเงินเพิ่ม หาวิธีเจรจากับแบงก์ ไม่มีเวลามานั่งให้ข่าว หรือให้สื่อเล่นข่าว ธุรกิจบริษัททัวร์ ทั้ง Inbound-outbound พังครืน ไม่มีกระแสเงินสด รายรับศูนย์ ล้มกันทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ร้านอาหารในโรงแรม ฟาร์มขายไข่ ยันทัวร์ และสายการบิน พนักงานที่ขาดรายได้แล้วถูกเลิกจ้าง บ้างกลับไปทำสวน บ้างหางานใหม่ ซึ่งคนก็ Freeze head count รัดเข็มขัดทุกบริษัทอีก บอกเลยว่าหางานยาก ถ้าไม่ใช่งานสายที่อุตสาหกรรมขาดจริงๆ

                - ธุรกิจบริการ เช่น สปา นวด หมอนวดลำบากกันถ้วนหน้า อะไรทั้งหลายที่เป็นบริการ ความสวยความงาม ก็คงไม่ต้องให้ความสำคัญมาก เพราะเดินไปไหนมาไหนก็ใส่หน้ากาก หรือธุรกิจบริการวีซ่า ไม่มีใครเดินทาง ธุรกิจพรีเซนเตอร์อย่างพริตตี้ MC พิธีกร ไม่มีงานอีเวนต์ให้ออก เพราะงานบ้างเลื่อนบ้างแคนเซิล ไปกันใหญ่ ธุรกิจสถานที่เช่าอีเวนต์และ event organizer น่าจะก่ายหน้าผากกัน ทำไรดีในช่วงนี้ เงินหายหลักร้อยหลักพันล้านต่อ 1 งาน

                - ธุรกิจห้างต่างๆ คงไม่ต้องยกเคส เอาแค่ Big C ราชดำริและเซ็นทรัลเวิลด์ที่นักท่องเที่ยวลงหลายคันรถ หลายทัวร์ รายได้น่าจะลดกว่า 90% ไหนจะ King Power ที่พึ่งพานักท่องเที่ยวเต็มๆ ห้างแย่ ร้านอาหารต่างๆ คนขายก็แย่ แม้จะมี Grab food, LINE man, Food Panda ช่วยพยุง แต่มันก็ไม่ดีเท่ายอดปกติที่ได้ทั้งหน้าร้านและออนไลน์

                - ธุรกิจผลิตต่างๆ ก็คงต้องหยุดผลิต ถ้าไม่มี Demands, Hold PO., ยอดหาย ชะงักกันไปหมด โรงงานปิดหนีภาวะเงินฝืดเคือง

                อยากให้เริ่มเสนอข่าวอื่นๆ ด้วยบ้าง ไม่งั้นคนจะเริ่ม "กักตุนอาหาร" สงครามผวาในโซเชียล กลัวจะไปกันใหญ่ ตอนนี้ไทยหล่นมาอันดับ Top 10 ไม่ใช่ Top 5 และคาดการณ์ว่าจะลดลงมาอีก ถ้ามาตรการรับมือโคโรนาของเราดีขึ้นเรื่อยๆ

                ตอนนี้ตัวเองก็ยังไปทำงานทุกวัน ไปกินข้าวในร้านบ้างตามจุดนัดประชุม งานอีเวนต์ที่สนใจก็ยังไป แต่ Secure ตัวเองมากขึ้น อุปกรณ์ (ป้องกันโคโรนา) ครบก่อนออกจากบ้าน เราต้องเรียนรู้ที่จะ “อยู่กับมัน”

                วัคซีนก็ออกมาแล้ว กำลังทดลองใช้จริงในมนุษย์เดือนเมษานี้ (อ้างอิงจาก TIME https://ti.me/2TeuQGX) ถ้าสำเร็จ 100% กว่าจะมาไทยใช้ได้จริงๆ และแจกจ่ายก็คง เมษายน-พฤษภาคม กว่าทุกคนจะไปฉีดกันหมด ก็ยาวๆ ไปมิถุนายหรือนานกว่า หวังว่ารัฐบาลจะมีนโยบาย “ฉีดวัคซีนฟรี” นะคะ อย่าคิดตังค์กันเลยเอาจริง นี่มันวาระแห่งชาติ

กว่าจะถึงจุดนั้น “บริษัทห้างร้านตายก่อน” ถ้า "ความกลัว" มันคร่าทุกสิ่ง ต้องการสะท้อนให้สื่อเข้าใจว่า “โดมิโนแล้ว” จริงๆ เอาง่ายๆ ลองถามคนใกล้ตัวคุณว่า “บริษัทสำนักงานไหนมีปัญหาได้รับผลกระทบจากโคโรนาบ้าง” กล้าตอบว่ามากกว่า 90% บอก "กระทบหนักและไปในทางด้านลบมากๆ"

                ที่มีจะตอบด้านบวกได้ คงไม่พ้นบริษัทประกัน, บริษัทหน้ากากอนามัยและเครื่องมืออุปกรณ์แพทย์, บริษัทอุปกรณ์ทำความสะอาด น้ำยาฆ่าเชื้อและอีกมากมาย รวมถึงธุรกิจกู้ยืมเงินในระบบธนาคารและนอกระบบ คนไม่มีเงินก็ต้องตะเกียกตะกายหาทางกู้ อีกทั้งธุรกิจทนายความก็รุ่ง คนจนลง คนไม่มีเงินชำระหนี้ธนาคาร ล้มละลาย ก็ต้องจ้างทนายขึ้นศาลกันไป

                แต่ด้านบวกนั้น “จำนวนมันน้อยกว่าเจ้าบริษัทด้านลบเยอะมาก...กกกกกกกก”

                ดังนั้นวอนขอความร่วมมือ มาร่วมสร้างสังคมดิจิทัล ที่เราต้องอยู่กับมันอย่างมีสติ กินช้อปใช้กันอย่างระมัดระวัง และทั้งผู้ผลิตสื่อ และบริโภคเสพสื่อกันอย่าง "เข้าใจ" มากกว่า "ตกใจ" เพราะยังไงย้ำว่าเราก็ต้องใช้ชีวิตประจำวันกับปัจจัย 5+ ปัจจัยที่ 6 พร้อมหน้ากากอนามัยอยู่ดี

                เอาเป็นว่า #เราจะผ่านมันไปด้วยกัน #ปลอบใจตัวเองและผู้อื่น

                (พรุ่งนี้ : “ติดหล่ม” หรือ “ตกราง”)

 

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"