สถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ “โควิด-19” ยังคงเป็นประเด็นร้อนประจำวันทั้งสถานการณ์ระดับโลกและในไทย โดยในระดับโลกนั้นต้องบอกว่าทุกวันก็มีประเทศใหม่ๆ ประกาศการติดเชื้อเพิ่มขึ้น รวมถึงตัวเลขของผู้ติดเชื้อที่ยังขยับขึ้นทุกวัน โดย ล่าสุดก็มีผู้ติดเชื้อแล้ว 93,199 ราย และเสียชีวิต 3,203 ราย ซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงและมีแนวโน้มว่าน่าจะทะลุหลักแสนในช่วงปลายสัปดาห์ แน่ๆ ...๐

ในขณะที่ต้นทางอย่าง “จีน” ที่มีผู้ติดเชื้อ 80,270 ราย และเสียชีวิตแล้ว 2,981 ราย หากดูแนวโน้มต้องบอกว่า “มังกรจีน” เริ่มควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้เป็นส่วนใหญ่ เพราะ ตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่ได้ขยายตัวก้าวกระโดด ต่างจากประเทศนอกจีนทั้งเกาหลีใต้, อิหร่าน, อิตาลี และอินเดีย ที่ตัวเลขขยับน่าวิตก อย่างมาก โดยเฉพาะดินแดนมะกะโรนีที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งไปถึง 2,263 ราย และเสียชีวิตถึง 79 ราย ...๐

ที่บอกว่า “อิตาลี” น่าห่วงอย่างยิ่ง นอกจากตัวเลขก้าวกระโดดทั้งผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตแล้ว ต้องไม่ลืมว่ายุโรปหรืออียูนั้นใช้วีซ่าแบบเชงเกน ซึ่งจะทำให้เพื่อนบ้านอีก 26 ประเทศต้องหนาวๆ ร้อนๆ กันแน่ หากชาวอิตาเลียนที่เป็นผู้ติดเชื้อเดินทางไปประเทศต่างๆ ทำให้ต้องจับตามองว่านับจากช่วงนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อของประเทศในแถบยุโรปจะขยับขึ้นอย่างน่าปริวิตก จนทำให้ “ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส” ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เลิกมองโลกในแง่ดี หรือไม่อย่างไร ...๐

แล้วที่ขำไม่ออกคือพี่เบิ้มอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ภายใต้บังเหียน “โดนัลด์ ทรัมป์” ซึ่งในช่วงต้นสัปดาห์ได้ออกมาบอกว่าให้ชาวมะกันอย่าตื่นตระหนกในเรื่อง “โควิด-19” มากนัก แต่ที่ไหนได้ “ธนาคารกลางสหรัฐ” หรือ “เฟด” กลับปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายนอกรอบลงถึง 0.50% จากผลพวงของโควิด ซึ่งเรียกว่าแทบไม่เคยมีมาก่อนที่เฟดจะประชุมฉุกเฉินแล้วลดดอกเบี้ยทันทีในอัตราถึง 0.50% แสดงให้เห็นว่าปัญหาไวรัสครานี้ไม่ใช่เรื่องที่จบลงง่ายๆ และรวดเร็วเหมือนหวัดนกหรือซาร์สแต่ประการใด ...๐

และเมื่อหันมองไปที่ เมืองน้ำหอม ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวน 212 คน และเสียชีวิตไปแล้ว 4 ราย ก็น่าจะรู้ถึงความร้ายแรงของเชื้อดังกล่าว และความหวั่นวิตกของนักรักปารีเซียงได้เป็นอย่าง เพราะ “เอมมานูเอล มาครง” ประธานาธิบดีฝรั่งเศสถึงกับสั่งให้เก็บหน้ากากอนามัยทุกแผ่นที่จำหน่ายในท้องตลาดและที่กำลังผลิตไว้เพื่อแจกจ่ายให้บุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ที่ติดเชื้อไวรัสใช้เท่านั้น หลังจากเกิดอาการกักตุนจนราคาหน้ากากและเจลล้างมือราคาขยับขึ้นเหมือนพี่ไทยอย่างไรอย่างนั้น ...๐

ในขณะที่ไทยประเด็น “ฮอต” ในสภากาแฟและโลกออนไลน์คงไม่พ้นเรื่อง “ผีน้อย” จากแดนเกาหลีใต้ที่จะกลับมาในระดับร้อยถึงระดับพันคน ซึ่งที่ประชุมฉุกเฉินที่มี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ย้ำชัดเจนว่าผีน้อยจาก “แดกู” และ “คยองซัง” ซึ่งเป็นต้นธารในการแพร่เชื้อจากฝีมือของป้ามหาภัยแห่งลัทธิ “ชินชอนจิ” จะต้องถูกกักตัวในพื้นที่ 14 วัน ...๐

แล้วก็ตามฟอร์ม พี่ไทยที่จะกั๊กชื่อจุดหรือสถานที่กักกันไว้แบบรัฐราชการ ทั้งๆ ที่เรื่องแบบนี้ควรประกาศให้ชัดแจ้งชัดเจนกันไปเลย ไม่ใช่ให้มาคาดเดาโน่นนี่ ซึ่งยิ่งจะสร้างความกังขาและข้อสงสัยให้ “ประชาชน” เหมือนกับกรณี “หน้ากากอนามัยล่องหน” นั่นแล ที่พี่ไทยก็เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในระดับต้นๆ ของโลก แต่กลับหาซื้อยากหาซื้อเย็น แถมยังมีราคาถีบสูงขึ้น สวนทางกับคุณภาพที่ด้อยลง ซ้ำร้ายยังมี “หน้ากากมือสอง” อีกต่างหาก จนทำให้ต้องมีการตัดเย็บกันเองแล้ว แต่ที่น่าหวาดหวั่นคืออุปกรณ์อย่าง “ยางยืด” ที่ใช้สำหรับคล้องหูก็กลายเป็น rare items และราคาปรับสูงขึ้นไปด้วย ...๐

งานนี้หาก “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ที่ได้อำนาจมาคุมเรื่องหน้ากากอนามัยแล้วก็ควรหันมาควบคุมดูแลอุปกรณ์ประกอบหน้ากากที่ราคาพาไปกับปัญหาด้วยก็น่าจะดี ...๐

อีกแล้วครับทั่นกับนโยบาย “ประชานิยม” ต้องเรียกพ่อกันเลยทีเดียว เมื่อ “อุตตม สาวนายน” รมว.การคลังได้ออกมาเปิดประเด็นที่จะเสนอ ครม.เศรษฐกิจในวันที่ 6 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นมาตรการเยียวยาผลกระทบไวรัสโคโรนา ที่สำคัญคือ มาตรการแจกเงินผ่านพร้อมเพย์ให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย มนุษย์เงินเดือน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และเกษตรกร ซึ่งยังไม่ได้กำหนดกรอบว่าจะเป็น 1-2 พันบาท โดยระบุว่าจะมีผู้รับประโยชน์ถึง 14 ล้านคน และยังไม่ชัดว่าจะแจกครั้งเดียวหรือทยอยแจกเป็นรายเดือน พระเจ้าจอร์จ! นอกจากคิดอะไรไม่ออกบอกทหารแล้ว ก็ต้องบอกว่าคิดมาตรการอะไรไม่ได้ก็แจกให้เข็ด กลบกระแส “ลุงโกร่ง” ที่ชงให้ปลดพ้นเก้าอี้แทนได้ ...๐ 

...ท.ศักดิ์