"ดร.โกร่ง" ชี้ ศก.ไทยปี 63 เผาจริง แถมฟุบยาวอย่างน้อย 5 ปี เหตุ "ผู้นำรัฐบาล-ผู้ว่าฯ ธปท." ไม่รู้จริงเรื่องเศรษฐกิจ ซัดโครงการ "ชิมช้อปใช้" แค่ปาหี่หลอกคนในเมือง ระบุเผด็จการทหารเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาการค้า-การลงทุนกับต่างประเทศ
ที่พรรคเพื่อไทย วันที่ 3 มี.ค. สถาบันสร้างไทยจัดเวทีเสวนาหัวข้อ ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ 2020 โดยนายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วิเคราะห์ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า ไทยเป็นประเทศที่เน้นการส่งออกและการบริการ หากเศรษฐกิจโลกดี ประเทศไทยจะดีไปด้วย แม้เราไม่สามารถเป็นผู้กำหนดราคาได้ทั้งข้าว น้ำตาล ยางพารา และมันสำปะหลัง เว้นแต่ราคาสินค้าเกษตรที่เป็นเงินบาท เรายังพอกำหนดราคาได้ผ่านการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน แต่ปรากฏว่าธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้มีความรู้เรื่องเหล่านี้เลย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยบอกว่าอัตราแลกเปลี่ยนไม่มีผลต่อการส่งออก ถ้าตนเป็นนายกฯ คงต้องหาทางปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ด้วยความโง่เขลาของรัฐบาลทหารไม่ทำ เพราะไม่มีความรู้เหมือนกัน เหมือนกับเอาคนตาบอดมาทำงานร่วมกัน ต่างคนต่างตาบอด และไม่รู้ด้วยกัน
นายวีรพงษ์กล่าวว่า สถานการณ์เช่นนี้เริ่มมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ที่เริ่มมาจากสหรัฐอเมริกา การชะลอตัวดังกล่าวของอเมริกาได้กระทบต่อความส่งออกของประเทศจีน จีนเป็นหัวรถจักรของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ขนานนามว่าจีนเป็นโรงงานผลิตของโลก สหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นผู้บริโภค เมื่อจีนกลายเป็นผู้ผลิต ทำให้ไทยได้รับประโยชน์อย่างมากจากการส่งสินค้าวัตถุดิบให้กับจีนและญี่ปุ่น ไทยจึงเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาขึ้นสูง และอีกไม่นานคงกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว แต่โชคร้ายที่เราเกิดการรัฐประหารก่อน ทำให้การถีบตัวทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก เพราะโลกปัจจุบันนี้เป็นโลกาภิวัตน์ ไร้พรมแดน มีการเกาะกลุ่มกันในทางการค้าเพื่อเป็นเขตเศรษฐกิจเสรี ในสายตาโลกเรายังมีระบบการปกครองที่ล้าหลังแบบเผด็จการทหาร
"ในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ผู้นำของเรายังทำไม่ได้ เพราะยังมียศทหารนำหน้า สวนทางกลับรัฐบาลพม่าที่เป็นพลเรือนแล้ว ตรงนี้เป็นปัจจัยถ่วงไม่ให้ไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เดิมเราคิดว่าจะเป็นเสือตัวที่ 5 แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารทำให้ทุกอย่างล้าหลังไปหมด การที่ผู้นำของเราไม่สามารถเดินทางไปเจรจาแบบทวิภาคีกับประเทศต่างๆ ได้ เป็นเหตุให้ภาวะเศรษฐกิจของเราถดถอยลง การส่งออกประสบปัญหา รวมทั้งรัฐบาลไม่เข้าใจอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ จนเงินบาทกลายเป็นสกุลที่แข็งที่สุดในโลก ซึ่งเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงที่ไม่ได้ดูแลผู้ส่งออก การขยายตัวของการส่งออกจึงถดถอยลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นล้าหลังที่สุดและกำลังติดลบ" นายวีรพงษ์กล่าว
อดีต รมว.การคลังกล่าวว่า การเป็นผู้นำประเทศที่ดีต้องหาคนดีมีฝีมือมาใช้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจในทุกเรื่อง แต่ท่านมีที่ปรึกษาหลายคน และมีความเห็นต่างๆ ออกมามากมาย พล.อ.เปรมไม่ได้เข้าใจทุกเรื่อง แต่จะดูว่าความเห็นของใครที่ไม่มีผลประโยชน์เบื้องหลัง ความเห็นของคนนั้นจะเป็นประโยชน์และเชื่อถือได้มากที่สุด ไม่รู้เหมือนว่าเวลานี้รัฐบาลมีคนที่พอจะเชื่อถือได้อยู่หรือไม่
"เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ ค่าเงินบาทแข็งขึ้นจะทำให้การส่งออกขยายตัวช้าลง และเงินบาทอ่อนครั้งนี้เป็นเพราะการคาดการณ์ผิดเกี่ยวกับการแพร่ของโคโรนาไวรัสที่ไม่อยู่ในโมเดล ที่อยู่ดีๆ นักท่องเที่ยวหายไปหมดเลย การส่งออกตกลงจากที่เคยขยายตัวบ้างและการพยายามจะอาศัยการท่องเที่ยวเป็นตัวช่วยนั้นทุกอย่างผิดพลาดหมด ดังนั้นต้นปีนี้จะเป็นการเผาจริง และปลายปีจะเก็บกระดูกไปลอยอังคาร ขอให้เตรียมการไว้ ที่พูดแบบนี้ไม่ได้พูดเพราะไม่ได้ชอบรัฐบาล แต่ผมพูดจากตัวเลขและข้อมูลที่เกิดขึ้น ถามว่าจะเป็นอย่างนี้อีกนานหรือไม่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาคิดว่าจะอยู่อีกประมาณ 10 ปี แต่เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เข้ามาตอนเศรษฐกิจเริ่มลงแล้วมา 5 ปี จึงคิดว่าน่าจะเหลืออีก 5 ปีเราถึงจะฟื้น ซึ่งการจะฟื้นได้จะต้องมีสัญญาณมาจากเศรษฐกิจโลกก่อน" อดีต รมว.การคลังกล่าว
นายวีรพงษ์กล่าวว่า สำหรับเรื่องความเหลื่อมล้ำ แม้จะมีการพูดกันมากก็จริง แต่แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะเราต้องแข่งขันกับต่างประเทศและมาตรการลดความเหลื่อมล้ำในเรื่องรายได้และทรัพย์สินเป็นมาตรการลบที่ลงโทษผู้ลงทุน ซึ่งทำให้ฐานะการแข่งขันกับต่างประเทศลดลง ทั่วโลกจึงไปดูเรื่องความเหลื่อมล้ำในคุณภาพชีวิตมากกว่าทรัพย์สินและรายได้ ถ้าจะพูดความเหลื่อมล้ำให้ถูกต้องคือ การลดความเหลื่อมล้ำในเรื่องคุณภาพชีวิต คนมีรายได้สูงแสดงว่าเขาเก่ง คนที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้า คือคนเก่ง แล้วจะไปลงโทษเขาทำไม ทั่วโลกจึงหันมาเก็บภาษีด้านการบริโภคมากขึ้น และลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างโครงการชิมช้อปใช้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเป็นปาหี่หลอกคนในเมืองเท่านั้น
ช่วงท้าย นายวีรพงษ์กล่าวว่า ต้องรีบเรียกร้องให้ประชาธิปไตยกลับคืนมาโดยไว เพราะการปกครองเผด็จการทหารเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเจรจาการค้าและการลงทุนกับต่างประเทศ การขอเรียกร้องให้ประชาธิปไตยกลับคืนมาโดยไว ต้องเปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตย เพราะนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจะอยู่ไม่ได้ถ้าเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ แต่รัฐบาลทหารอยู่ได้สบายใจ เพราะเขาใช้ปืน สมมติเวลานี้มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งจะนั่งก้นไม่ติดแล้ว อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องทำทุกทางเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจเลวร้ายไปกว่านี้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |