หลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจจบลง กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็อุบัติขึ้นทันที สรุปภาพรวมข่าวลือ ณ เวลานี้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รมว.กห.) ยังไม่ปรับในเร็ววัน และจะไม่แตะสัดส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล กล่าวคือพรรคร่วมเคยได้กี่ตำแหน่งก็จะยังคงได้เท่าเดิม และหากจะปรับเปลี่ยนก็จะให้พูดคุยกันเอง โดยที่รัฐบาลจะไม่ยุ่งเกี่ยว

                อย่างไรก็ตาม มีสองประเด็นที่น่าสนใจให้ติดตาม ประเด็นแรก สืบเนื่องจากการซักฟอกของ “ธีรัจชัย พันธุมาศ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ อภิปราย “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ กรณีขนยาเสพติดที่ประเทศออสเตรเลีย

                ที่ผ่านมา “ร.อ.ธรรมนัส” ยืนยันเสียงแข็งว่าไม่กระทบกับการเป็นรัฐมนตรี เพราะไม่ได้ติดคุกจริง แต่หลักฐานที่ “ธีรัจชัย”  นำมาอภิปรายไม่วางใจ คือ คำพิพากษาศาลของประเทศออสเตรเลีย มัดแน่นว่าติดคุกจริง ฉะนั้น ที่ “ธรรมนัส” เคยแก้ต่างมาล้วนโกหกทั้งสิ้น

                นอกจากนี้ ยังมีประเด็นว่าเคยได้รับการล้างมลทินจาก พ.ร.บ.ล้างมลทิน ซึ่ง “ธีรัจชัย” กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การล้างมลทินเป็นเพียงการยกโทษให้ แต่ความผิดยังคงอยู่ ไม่ได้โดนล้างไปด้วย ขณะเดียวกัน หากได้รับการนิรโทษกรรมถือว่าล้างทั้งความผิดและโทษ

                โดยงานนี้ รมช.เกษตรฯ ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิง แต่ไม่เข้าตากรรมการ เพราะพูดเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรใหม่แล้ว  ตอนนี้ยังถูกโลกโซเชียลล้อเล่นจนหมดความน่าเชื่อถือไป กรณีแก้ต่างว่าไม่ได้ขนเฮโรอีน แต่เป็นเพียงแค่แป้งเท่านั้น

                จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในบรรดา ครม.ที่ถูกซักฟอก “ร.อ.ธรรมนัส” ถือเป็นรัฐมนตรีที่น่าปรับออกจาก ครม.มากที่สุด  เนื่องจากมีแผลเหวอะหวะและตอบไม่เคลียร์

                ทว่า อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ แม้เป็นบุคคลที่น่าปรับออกที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าจะปรับกันง่าย เพราะเขาคือคนสำคัญคนหนึ่งที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐได้เสียงเป็นกอบเป็นกำ ขืนปรับออกง่ายๆ เสียงรัฐบาลในสภาอาจกลับมาเป็นเสียงปริ่มน้ำอีกครั้งก็ได้ เพราะ “ธรรมนัส” มีเสียง ส.ส.ภาคเหนืออยู่ในมือ

                นอกจากนี้ ยังต้องจับตาถึงความคืบหน้าเรื่องที่ดิน ส.ป.ก.  โดยก่อนที่จะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียง 4 วัน “ธรรมนัส” เปิดเผยว่า มีข้อมูลที่ดิน ส.ป.ก.ของนักการเมืองระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ซึ่งครอบครองไว้นับแสนไร่

                ฉะนั้น ถ้ารอบนี้ “ธรรมนัส” ถูกปรับออกจาก ครม.จริงๆ  ต้องติดตามว่าจะเดินเกมนี้อย่างไรต่อไป

                สำหรับประเด็นสอง ว่าด้วยจำนวน ส.ส.ของแต่ละพรรคร่วมรัฐบาลเปลี่ยนไป อาจมีการเรียกร้องขอเก้าอี้เสนาบดีเพิ่ม

                จากเดิมพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์มี ส.ส.ไล่เลี่ยกัน คือ พรรคประชาธิปัตย์ มี 52 ส.ส. และพรรคภูมิใจไทย มี 51 คน จึงได้เก้าอี้รัฐมนตรี 7 คนเท่ากัน

                ทว่า ยอด ส.ส.ของภูมิใจไทยในขณะนี้มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 10 คน จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าพรรคภูมิใจไทยอาจต่อรองขอโควตาเพิ่ม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง มีการวิเคราะห์ต่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลที่จะต้องโดนเฉือนคือ “ประชาธิปัตย์” โทษฐานมี ส.ส.น้อยกว่าพรรคภูมิใจไทย

                เรื่องนี้ภายในพรรคประชาธิปัตย์เองก็มีการจับกลุ่มคุยกันบ้าง โดยโฟกัสระหว่าง “คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กับ “สาธิต ปิตุเตชะ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่าสองคนนี้ใครจะเป็นผู้ถูกจิ้มออก หากมองกันในแง่ผลงาน บอกตามตรงว่าเห็นชัดคนไหนผลงานโดดเด่น

                แต่ถ้าในแง่โควตาตามรายภาคในบรรดา 7 รัฐมนตรี แบ่งเป็นภาคเหนือ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ภาคใต้ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ภาคอีสาน คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และส่วนกลาง 2 คน ได้แก่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอีกหนึ่งคน คือ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

                ประเด็นอยู่ที่ภาคกลางซ้ำกันสองคน คือ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งแน่นอนว่า “หมอตี๋” สาธิต คือเป้า ส่วน “เฉลิมชัย” ไม่ต้องพูดถึงเพราะเขาเป็นเลขาธิการพรรค

                เอาล่ะ เรื่องนี้อยู่บนสมมติฐานที่ว่าประชาธิปัตย์ถูกซอยโควตาให้พรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่น อย่าเพิ่งตระหนกนัก.