พบเพิ่มอีก1ราย ติดไวรัสโคโรนา สธ.แจกหน้ากาก


เพิ่มเพื่อน    


    พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในไทยเพิ่้มอีก 1 ราย เป็นชายอาชีพเซลส์แมน สัมผัสใกล้ชิดชาวต่างชาติ รวมผู้ป่วย 14 ราย หายแล้ว 28 คน "อนุทิน" เผยวันที่ 2 มี.ค.เริ่มแจกหน้ากากอนามัย 3 ชิ้นต่อคน ประกาศเป็นโรคติดต่ออันตรายมีผลบังคับใช้แล้ว "บิ๊กตู่" งดบินไปอเมริกา เลื่อนการประชุมสุดยอดอาเซียน-อเมริกาไม่มีกำหนด
    นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า วันนี้ได้รับรายงานผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้ง 2 แห่ง (กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี) ยืนยันพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 1 ราย ผู้ป่วยเป็นเพศชาย อายุ 21 ปี อาชีพพนักงานขาย สัมผัสใกล้ชิดกับชาวต่างชาติ เริ่มป่วยวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 เข้ารับการรักษาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ขณะนี้รับไว้รักษาอยู่ที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ด้วยอาการไข้ ไอ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อ ขณะนี้ได้ติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด ทั้งครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเอกชนแล้ว
        ขณะนี้มีผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 14 ราย รักษาหายแล้ว 28 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 42 ราย โดยเป็นผู้ป่วยที่มาจากการเฝ้าระวัง 28 ราย (เป็นคนจีน 16 ราย คนไทย 12 ราย) และเป็นผู้ป่วยที่มาจากการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย 14 ราย (เป็นคนจีน 9 ราย คนไทย 5 ราย) ทำให้ขณะนี้ไทยมีรายงานผู้ป่วยอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก สำหรับผู้ป่วยอาการหนัก 2 รายที่สถาบันบำราศนราดูร ขณะนี้ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อแล้ว รอร่างกายฟื้นตัว
        ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ในวันที่ 2 มี.ค. กระทรวงสาธารณสุขจะเริ่มมอบหน้ากากอนามัยให้ประชาชนจำนวน 3 ชิ้นต่อคน เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกันโรค ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและการจัดหา
       รมว.สาธารณสุขกล่าวว่า ในวันนี้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มีนาคม 2563 เพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่ออันตราย ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หอบเหนื่อย หรือมีอาการของโรคปอดอักเสบ ในรายที่อาการรุนแรง จะมีอาการระบบทางเดินหายใจล้มเหลวและอาจถึงขั้นเสียชีวิต ภายหลังจากที่ประกาศมีผลบังคับใช้ จะออกมาตรการต่างๆ ภายใต้อำนาจของกฎหมายฉบับนี้ เพื่อยืดระยะเวลาการเข้าสู่ระยะที่ 3 ของการแพร่ระบาดของโรคให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
    นายอนุทินกล่าวว่า ในส่วนการตรวจเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 COVID-19 หากเป็นผู้ที่เข้าข่ายสงสัยฯ ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข ให้ไปรับการตรวจที่ รพ.ตามสิทธิ (ไม่เสียค่าใช้จ่ายค่าตรวจ) หากยังไม่มีอาการใดๆ หรืออาการไม่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ ไม่แนะนำให้ไปตรวจเอง (หากอยากตรวจต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง) ทั้งนี้ ในกลุ่มที่ไม่มีอาการหรืออาการไม่เข้าข่าย แต่เป็นผู้เดินทางมาจากประเทศที่เสี่ยง แม้จะตรวจไม่พบเชื้อ ในครั้งแรกขอให้สังเกตอาการป่วยอยู่ที่บ้าน/ที่พัก จนครบ 14 วัน
นายกฯ งดบินไปอเมริกา
     นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกำหนดการเดิม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จะเดินทางเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา สมัยพิเศษ หรือ ASEAN-U.S. Special Summit เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 13-16 มี.ค. โดยขณะนี้ นายกฯ ได้รับรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศว่า สหรัฐอเมริกาแจ้งเลื่อนการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา สมัยพิเศษ ในวันที่ 14 มี.ค.ออกไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ส่งผลให้นายกฯ ต้องยกเลิกการเดินทางไปสหรัฐ
    นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องจากปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาราชการ พ.ศ.2555 ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันอาจมีข้าราชการที่ต้องลาหยุดราชการเพื่อเฝ้าระวังและดูอาการหลังกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงหรือเป็นผู้ใกล้ชิดผู้มีอาการป่วยดังกล่าว ตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุข จึงได้มีหนังสือซักซ้อมความเข้าใจแนวทางปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ.2555 ที่มีอยู่แล้ว หากมีข้าราชการที่อาจต้องเข้าสู่มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แล้ว จะไม่นับเป็นวันลาตามจำนวนวันที่ไม่มาปฏิบัติราชการได้
    นายธีรภัทรกล่าวว่า ขณะนี้ส่วนราชการทุกกระทรวงและหน่วยงานเทียบเท่า รัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชน ได้ให้ความสำคัญต่อการเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ตามข้อสั่งการของท่านนายกรัฐมนตรี โดยได้มีการออกมาตรการต่างๆ มาเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับเจ้าหน้าที่ในสังกัด เช่น การงดหรือเลี่ยงการเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง การปฏิบัติตัวตามข้อแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข การสวมหน้ากากอนามัย การจัดเจลล้างมือภายในบริเวณอาคารสำนักงานและห้องประชุม การทำความสะอาดสำนักงานและพื้นที่ที่มีประชาชนมาใช้ส่วนรวมอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น
    สำหรับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีการกำหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไปยังหน่วยงานในสังกัด ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.), กรมประชาสัมพันธ์ (กปส.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ให้ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดแล้วเช่นกัน
    ทั้งนี้ ได้มีหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 เรื่องซักซ้อมความเข้าใจแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการลาของข้าราชการ กรณีปฏิบัติตามการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทยมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโรคดังกล่าว 
เฝ้าระวังผู้ป่วยรายใหม่
    โดยการตรวจคัดกรองผู้เดินทางกลับจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุน สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐสิงคโปร์ มาเลเชีย เป็นต้น ซึ่งเป็นการเฝ้าระวังผู้ป่วยรายใหม่ไม่ให้เชื้อโรคแพร่ระบาดโดยทางตรงหรือทางอ้อมไปยังผู้อื่นได้ และในการตรวจคัดกรองอาจมีการแยกกักหรือกักกันผู้เดินทางกลับจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อดังกล่าวจนกว่าจะพ้นระยะติดต่อของโรค ประกอบกับคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558
    จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดขอโรคติดเชื้อไววัสโคโรนา 2019 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี อาศัยอำนาจตามความในข้อ 4 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของราชการ พ.ศ.2555 กำหนดกรณีข้าราชการที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือข้าราชการผู้ซึ่งสัมผัสโรคหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยดังกล่าว ไม่ว่าจะได้เข้ารับการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังเชื้อโรคดังกล่าว ที่โรงพยาบาลหรือไม่ก็ตาม 
    หากปรากฏผลการตรวจคัดกรองยืนยันว่า มีภาวะเสี่ยงหรือติดเชื้อโรคหรือถูกแยกกักหรือกักกันตัว หรือปฏิบัติตามมาตรการที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถมาปฏิบัติราชการ ณ สถานที่ตั้งตามปกติ ให้พิจารณาดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ.2555 ข้อ 15 โดยให้ข้าราชการดังกล่าวรีบรายงานพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งอุปสรรคขัดขวางที่ทำให้ไม่สามารถมาปฏิบัติราชการได้ต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง หรือหัวหน้าส่วนราชการทันที โดยให้ถือว่าข้าราชการดังกล่าวไม่สามารถมาปฏิบัติราชการอันเนื่องมาจากพฤติการณ์พิเศษ และให้ผู้บังคับบัญชาสั่งให้การหยุดราชการของข้าราชการผู้นั้นไม่นับเป็นวันลาตามจำนวนวันที่ไม่มาปฏิบัติราชการได้
    ทั้งนี้ หากพฤติการณ์ซึ่งเป็นเหตุแห่งการไม่สามารถมาปฏิบัติราชการดังกล่าวเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อหรือความผิดของข้าราชการผู้นั้นเอง ให้ถือว่าวันที่ข้าราชการผู้นั้นไม่มาปฏิบัติราชการเป็นวันลากิจส่วนตัว จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และแจ้งส่วนราชการในสังกัดทราบด้วย
    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง การรับรู้ของประชาชนต่อโรคโควิด-19 กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,115 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25-28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา 
พอใจรัฐบาลแก้ไวรัสโควิด-19 
    พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.6 รับรู้ข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มากถึงมากที่สุด รองลงมาคือร้อยละ 12.2 รับรู้ปานกลาง และร้อยละ 4.2 รับรู้น้อยถึงน้อยที่สุด นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.4 ให้ความสำคัญต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มากถึงมากที่สุด รองลงมาคือ ร้อยละ 12.3 ให้ความสำคัญระดับปานกลาง และร้อยละ 8.3 ให้ความสำคัญน้อยถึงน้อยที่สุด
    เมื่อถามถึงความตระหนักดูแลสุขภาพช่วงระบาดของไวรัสโควิด-19 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.9 ตระหนักดูแลสุขภาพมากถึงมากที่สุด รองลงมาคือร้อยละ 16.3 ดูแลสุขภาพระดับปานกลาง และร้อยละ 1.8 ดูแลน้อยถึงน้อยที่สุด
    ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงความพอใจของประชาชนต่อ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แก้ปัญหาไวรัสโควิด-19 จริงจัง พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.3 พอใจมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 15.5 พอใจปานกลาง และร้อยละ 20.2 พอใจน้อยถึงน้อยที่สุด
    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ในเกาหลีใต้ ที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงต่อเนื่องว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อแห่งชาติเกาหลีใต้แถลง พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในเกาหลีใต้เพิ่มอีก 594 คน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 จนถึงช่วงประมาณ 13.00 น. ของวันเสาร์ที่ 29 ก.พ. ตามเวลาในไทย ปรับเพิ่มเป็น 2,931 คน และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 4 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 17 รายแล้ว
    ด้านรัฐบาลเกาหลีใต้ได้ขอร้องให้ประชาชนควรอยู่แต่ในอาคารบ้านพักอาศัย พร้อมเตือนว่าขณะนี้เกาหลีใต้อยู่ในช่วงเวลาวิกฤติของการต่อสู้กับเชื้อโควิด-19
    สำนักข่าวยอนฮัพสื่อในเกาหลีใต้รายงานว่า ทางการเกาหลีใต้เตือนว่าจะพบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นจำนวนมากในเมืองแทกู ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดในประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากในจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 594 คนนั้นอยู่ที่เมืองแทกู ซึ่งห่างจากกรุงโซลราว 300 กิโลเมตร ถึง 476 คน ส่วนอีก 60 คน อยู่ในจังหวัดคย็องซังเหนือ ติดกับเมืองแทกู โดยขณะนี้ มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในเมืองแทกูนับ 2,000 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 70 ของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในเกาหลีใต้ ส่วนที่จังคย็องซังเหนือ มีผู้ติดเชื้อ 469 คน
    มีการคาดการณ์จะพบผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวนมากในอีกไม่กี่วันข้างหน้าในเกาหลีใต้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้เริ่มตรวจสุขภาพสาวกนิกายชินชอนจี จำนวนกว่า 210,000 คน ว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ หลังจากโบสถ์คริสต์ของนิกายนี้ในเมืองแทกูคือศูนย์การการระบาด โดยขณะนี้ได้ตรวจเช็กสาวกนิกายชินชอนจีแล้วประมาณ 88% ซึ่งในจำนวนนี้ราว 2% มีอาการป่วยจากโรคโควิด-19.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"