ก่อนจะถึงวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฝ่ายค้านคุยนักคุยหนาว่ามีข้อมูลเด็ดที่สามารถทำให้นายกรัฐมนตรีลาออก หลายคนฟังแล้วก็มองว่าน่าจะเป็นการคุยโวมากกว่า ตามนิสัยของคนที่เป็นผู้วางยุทธศาสตร์ในการอภิปรายครั้งนี้ ที่มีนิสัยคุยโว ข่มขู่ด้วยลีลาวาทะที่ร้อนแรง แต่บางคนก็ยังให้เครดิตว่า ฝ่ายค้านน่าจะทำการบ้านมาดี มีข้อมูลที่จะทำให้รัฐบาลต้องซวนเซและอับอายจนไม่สามารถจะอยู่ต่อไปได้ เพราะการลาออกของนายกรัฐมนตรีที่จะทำให้รัฐบาลล่มสลายนั้น เป็นเป้าประสงค์ของพวกเขาอยู่แล้ว ไม่ว่าประเทศจะเผชิญปัญหาอะไร มีเรื่องไม่ดีไม่งามใดๆ เกิดขึ้น พวกเขาก็จะออกมาตำหนิรัฐบาล แล้วประโยคสุดท้ายของพวกเขาก็คือนายกรัฐมนตรีจะต้องลาออก สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาโกรธแค้นพลเอกประยุทธ์เอามากๆ ที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญคือ ทำให้แกนนำของพรรคไม่ได้เป็น ส.ส. และไม่ได้เป็นรัฐมนตรี
ทั้งๆ ที่รัฐบาลทำงานมาได้เพียงไม่กี่เดือน และยังไม่มีเรื่องเลวร้ายใดๆ ที่เป็นความจริงเชิงประจักษ์ที่สามารถนำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ แต่ก็พยายามที่จะทำ เพราะต้องการที่จะโค่นล้มรัฐบาลให้ได้ ผลที่ตามมาก็คือการอภิปรายดูเลื่อนลอย ไร้แก่นสาร ไม่สามารถที่จะทำให้รัฐบาลสั่นคลอนได้เลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามประชาชนกลับมองเห็นว่าฝ่ายค้านไม่มีคุณภาพ ไร้สาระ อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเหมือนการนำเอาเรื่อง “เขาเล่าว่า” มาแสดงความคิดเห็น หาข้อเท็จจริงที่เป็นแก่นสารแทบจะไม่ได้เลย สิ่งที่ได้เห็นก็คือการใช้ลีลาที่รุนแรง และการใช้วาจาที่ต่ำตม ไม่สมกับการเป็นผู้แทนราษฎรที่ทรงเกียรติ สมแล้วที่ประธานสภาฯ บอกว่าการพูดจามันสะท้อนคุณสมบัติและมารยาทของผู้พูด แม้ประธานสภาฯ จะวินิจฉัยแล้ว ตักเตือนแล้ว ก็ไม่ฟังคำวินิจฉัย ไม่ฟังคำตักเตือน ยังทำสิ่งที่ไม่ดีงามซ้ำซาก ด้วยเจตนาเพียงต้องการยั่วอารมณ์ของนายกรัฐมนตรี หวังให้นายกรัฐมนตรีโกรธและแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด ให้นายกรัฐมนตรีดูไม่ดีในสายตาของประชาชน
แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวัง เพราะนายกรัฐมนตรีมีความอดทน แสดงภาวะของการเป็นผู้นำที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ไม่มีเกรี้ยวกราด ไม่มีการโมโหใคร และตอบด้วยลีลาน้ำเสียงที่สุภาพ แถมยังมีคำพูดประชดที่แดกดันฝ่ายค้านได้อย่างสุภาพ คนที่หน้าบางน่าจะรู้สึกอาย แต่สำหรับฝ่ายค้านที่แสดงอาการอภิปรายแบบนั้น ก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะรู้สึกหรือไม่ ที่สำคัญก็คือ นายกรัฐมนตรีตอบข้อกล่าวหาได้ทุกเรื่อง ไม่มีการเบี่ยงประเด็นเหมือนอย่างที่เราเคยเห็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีบางคนที่ถามช้างตอบม้า หรือที่เขาบอกกันว่าคนถามผิดที่ถามไม่ตรงคำตอบ
ทีมงานของฝ่ายรัฐบาลบอกแล้วว่าขอให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ให้เกี่ยวข้องกับการทำงานเจ็ดเดือนของรัฐบาลที่ผ่านมานี้เท่านั้น อย่าย้อนกลับไปในสมัยที่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ที่เป็นคณะรัฐประหาร แต่ปรากฏว่าฝ่ายค้านไม่มีเนื้อหาอะไรที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานในช่วงเวลานี้ได้จึงต้องเอาเรื่องการทำงานและการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ ตั้งแต่ที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงของการการบริหารบ้านเมืองตามนโยบายของ คสช.ที่เข้ามายึดอำนาจ โดยกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีเป็นคนที่มีทัศนคติที่เป็นปรปักษ์กับการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะท่านทำรัฐประหาร พูดแต่ว่าท่านทำการรัฐประหาร แต่ไม่พูดว่าเพราะเหตุใดพลเอกประยุทธ์และคณะทำไมต้องทำรัฐประหาร แต่ประชาชนทั่วไปที่ไม่ใช่ติ่งแดง ติ่งส้ม มีความเข้าใจดีว่าทำไมจึงต้องมีการทำรัฐประหารในปี 2557
มีการไปลากเอาเรื่องพ่อของนายกรัฐมนตรีขายที่ดินให้เจ้าสัวมาอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่คนขายก็เป็นพ่อของท่าน และเวลานั้นท่านก็เป็น ผบ.ทบ. และท่านก็ไม่ได้รู้มาก่อนว่าท่านจะได้มาเป็นนายกรัฐมนตรี และในขณะเดียวกันคนซื้อก็คงไม่ได้หยั่งรู้ว่าลูกชายของเจ้าของที่ดินจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันหน้าที่จะมาเอื้อประโยชน์ให้แก่ท่านได้ ส่วนการซื้อที่ดินราคาสูงกว่าราคาประเมินนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะราคาที่ดินผืนงามๆ นั้น ไม่มีใครเขาขายกันตามราคาประเมินของทางการ แต่เขาจะมีราคาตลาดที่ใช้ซื้อขายกัน ซึ่งมักจะสูงกว่าราคาประเมิน คนที่ไม่มีวิสัยทัศน์ที่มองอนาคตไม่เป็นอาจจะมองว่าเป็นการซื้อที่ผิดวิสัย แต่สำหรับคนที่มีวิสัยทัศน์ดี มองอนาคตได้แม่นยำนั้น เขาสามารถคาดการณ์มูลค่าของที่ดินในอนาคตได้ แต่คนที่ไม่มีวิสัยทัศน์ไม่มีวันที่จะเข้าใจเรื่องแบบนี้
ที่น่าแปลกก็คือ การอภิปรายครั้งนี้ไปไกลถึงขนาดเอาเรื่องดวงของนายกรัฐมนตรีมากล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีมีดวงที่ข่มดวงเมือง ก็ไม่เห็นว่าเรื่องดวงที่ไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้นั้น จะเอามาเป็นประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ จึงสรุปได้ว่าฝ่ายค้านหาประเด็นที่จะมากล่าวหานายกรัฐมนตรีแบบชัดๆ ที่จะล้มรัฐบาลได้ไม่เจอจริงๆ จึงต้องเอาเรื่องดวงมาอภิปรายด้วย และยังมีการเปิดไฟเป็นสัญลักษณ์ของการขับไล่นายกรัฐมนตรี ด้วยการเสนอแนะให้นายกรัฐมนตรีเปล่งวาจายุบสภา ซึ่งถ้าหากใครสังเกตอาการของนายกรัฐมนตรีที่เขานั่งอยู่ในสภาด้วย คงจะได้เห็นว่านายกรัฐมนตรีมีอาการนิ่งมาก ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรเลยกับการกระทำเชิงสัญลักษณ์ด้วยการเปิดไฟหน้าจอโทรศัพท์ ซึ่งอาการของนายกรัฐมนตรีเช่นนี้ ก็คงทำให้ฝ่ายค้านไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน
โดยสรุปแล้ว อยากจะบอกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ รู้สึกว่าไม่สมราคาคุย เพราะไม่มีสาระแก่นสารใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีความผิดอะไรที่จะต้องลาออกหรือยุบสภา และทำให้ประชาชนเห็นว่าฝ่ายค้านไม่มีคุณภาพในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อาจจะไม่ใช่ไม่มีความสามารถ เพียงแต่เป็นการกระทำที่เร็วเกินไป รัฐบาลยังทำงานไม่ถึงปี และยังไม่ได้ทำอะไรที่ประชาชนเห็นว่าควรจะต้องลาออกไป ถ้าหากมีสาระที่เป็นความผิดที่ชัดเจน ฝ่ายค้านก็อาจจะทำหน้าที่ได้ดีกว่านี้ แต่สำหรับครั้งนี้สิ่งที่ได้เห็นก็คือความถ่อยที่ดูต่ำของ ส.ส. บางคนที่เป็นไปตามคำโบราณท่านว่า “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ต่ำจริงๆ ค่ะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |