ภาคประชาชนฟ้อง "นายกฯ-ครม.-กทพ." ร้องศาลปกครองเพิกถอนต่อสัญญาทางด่วนขั้น 2 ชี้่งุบงิบประเคนสัมปทานให้เอกชนอีก 15 ปี 8 เดือน ละเมิดสิทธิประชาชนขัด รธน.
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย พร้อมด้วยนายพลภาขุน เศรษฐญาบดี ผู้ประสานงานคณะราษฎรไทยแห่งชาติ (ครช.) และตัวแทนองค์กรของผู้บริโภคเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน เข้ายื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 8 ราย ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2653 ที่เห็นชอบแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่สอง (ทางพิเศษศรีรัช) รวมถึงส่วน D และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (ทางพิเศษอุดรรัถยา)
รวมทั้งขอให้เพิกถอนสัญญาใดๆ ระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ที่ลงนามสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่สอง (ฉบับแก้ไข) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (ฉบับแก้ไข) กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บมจ.บีอีเอ็ม) และขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวสั่งห้ามกระทรวงคมนาคมลงนามในสัญญาสัมปทานดังกล่าว หลังจากสัญญาสัมปทานเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 28 ก.พ.2563
โดยนายพลภาขุนกล่าวว่า ทางด่วนขั้นที่ 2 จะหมดสัญญาสัมปทาน และให้ทรัพย์สินตกเป็นของรัฐ ในวันที่ 28 ก.พ.2563 แต่เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ครม.กลับมีมติต่อสัญญาไปอีก 15 ปี 8 เดือน โดยไม่ได้ให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลพิทักษ์ทรัพย์สินของประเทศ และถือเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนที่จะได้ใช้ทรัพยากรที่ควรตกเป็นของรัฐในราคาถูก เป็นการเยียวยาให้กับประชาชนในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจเช่นนี้ อีกทั้งสัญญาที่จะมีการลงนามกันก็ไม่เคยเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้ โดยเฉพาะในเรื่องของการปรับขึ้นราคาค่าผ่านทาง ว่าจะมีการกำหนดหรือปรับขึ้นอย่างไร จึงเห็นว่าการที่ ครม.มีมติต่อสัญญา เป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ จึงต้องมายื่นร้องต่อศาลปกครอง และอยากให้ศาลรักษามาตรฐานในการวินิจฉัยคดีที่มีผลกระทบต่อประชาชน โดยมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษารวดเร็ว เช่นเดียวกับที่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในคดีเซ็นทรัล วิลเลจ ภายใน 7 วันหลังจากรับคำฟ้อง
นายศรีสุวรรณกล่าวว่า การต่อสัญญาและการลงนามสัญญาเมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา มีข้อพิรุธหลายประการ เพราะในข้อเท็จจริงเมื่อสัญญาสัมปทานเดิมสิ้นสุดลงในวันที่ 28 ก.พ. ควรคืนทรัพย์สินที่เป็นสาธารณูปโภคนี้กลับมาเป็นสมบัติของประชาชน โดยมี กทพ.เป็นผู้ดูแล ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีโอกาสได้ใช้ทางด่วนในอัตราที่ถูกในยุคที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังฝืดเคือง อย่างน้อยเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับรัฐบาล เหมือนเป็นการมอบของขวัญให้กับประชาชนในระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 3-6 เดือนนี้ ก่อนที่จะให้ กทพ.ไปดำเนินการเก็บค่าผ่านทางเอง ซึ่งน่าจะถูกกว่าเอกชนหลายเท่า แต่กลับมีการลงนามสัญญาทั้งที่ควรที่จะเปิดเผยให้กับประชาชนได้รับทราบ
"ที่สำคัญสัญญาสัมปทานที่ได้ลงนามกันไป ไม่มีการเปิดเผยให้กับประชาชนได้รับทราบ แต่จากคำแถลงของ รมว.คมนาคม ประธานบอร์ด กทพ.เป็นไปในทิศทางว่าจะนำไปสู่ค่าโง่ทางด่วนอีกครั้งเป็นรอบที่ 3 หมายความว่าหลังสิ้นสุดสัญญาที่ต่ออายุ 15 ปี 8 เดือน ในสัญญาที่ระบุว่าจะเปิดโอกาสให้เอกชนได้สิทธิต่อสัมปทานได้อีก อย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งละ 10 ปี ณ วันนั้น ถ้า กทพ.อยากจะเอามาดำเนินการเองก็ทำไม่ได้ เพราะมีสัญญามัดไว้ ฉะนั้นเอกชนจะมีสิทธิเข้ามาดูแลต่อเนื่องอย่างน้อย 35-40 ปี ถือเป็นการสร้างความเดือดร้อนกับประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง และในที่สุดทางด่วนทั้งหมดก็ไม่สามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาปากท้องหรือลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนได้เลย” นายศรีสุวรรณ ระบุ
ส่วนที่อ้างว่าการต่อสัญญาจะนำไปสู่การเพิกถอนคดีความต่างๆ ระหว่างรัฐกับเอกชนรวม 17 คดีที่ฟ้องร้องกันอยู่ในศาลนั้น นายศรีสุวรรณกล่าวว่า การที่มีการออกมาแถลงเช่นนี้ คิดว่าน่าจะไม่ถูกต้อง เนื่องจากเมื่อรัฐมีคดีความกับเอกชนหรือประชาชนแล้ว โดยปกติจะมีการสู้คดีกันจนถึงที่สุด จนกว่าจะมีคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดออกมา ไม่เคยมีที่หน่วยงานของรัฐจะหยุดกลางคัน หรือยกธงขาวก่อน คำกล่าวดังกล่าวจึงถือว่าเป็นข้อพิรุธ และ 17 คดีดังกล่าวที่ผ่านมาบางคดี กทพ.ก็เป็นผู้ชนะ ดังนั้นจะไปเหมาว่าทั้ง 17 คดีต้องแพ้ทั้งหมดเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเรื่องเหล่านี้เป็นผลประโยชน์โดยตรงของสาธารณชน ที่หน่วยงานของรัฐต้องปกป้อง ไม่ควรทำในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |