"บิ๊กตู่" ยันไม่ได้โกรธเด็กๆ หลานๆ ลูกๆ แฟลชม็อบ แต่ให้ระมัดระวัง เพราะอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจถูกชักชวน ถูกปลุกมาโดยฟังความข้างเดียว เตือนระวังเรื่องหมิ่นสถาบันฯ ชี้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าวันนี้วันหน้า โดนคดีให้ดูม็อบในอดีตเป็นตัวอย่าง "หมอวรงค์" แฉแหลกฮ่องกงโมเดล มักจะจบลงด้วยความรุนแรง บนเลือดเนื้อที่บริสุทธิ์ของเยาวชน
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนิสิตนักศึกษาและนักเรียนออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย หรือแฟลชม็อบ ว่าเป็นห่วงทุกคนทุกที่ การชุมนุมอะไรต่างๆ ก็เป็นห่วง เข้าใจถึงความต้องการของเขาและเด็กๆ แต่ก็ขอให้ระมัดระวังก็แล้วกัน
"นายกฯ คงไปโกรธเกลียดใครอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เห็นใจแต่ก็ต้องรับฟังช่องทางหลายๆ ช่องทางดูบ้าง จะได้รู้ว่าประเทศชาติควรจะเดินต่อไปอย่างไร ก็ขอให้กำลังใจ เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ เราไม่ได้ว่าอะไรเลย แต่ก็ต้องรับฟังอะไรบางอย่างด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องกฎหมาย มันจะอันตรายในวันข้างหน้า"
นายกฯ กล่าวว่า อะไรหลายๆ อย่างมันมีปัญหามาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นคดีเสื้อสีอะไรก็ตาม เห็นหรือเปล่าว่ากลายมาเป็นคดีต้องขึ้นศาลกันระนาวอยู่ตอนนี้ แล้ววันหน้าจะทำอย่างไร เด็กเหล่านี้คืออนาคตของประเทศ จะผิดจะถูกอย่างไรก็ตาม ก็ต้องติดตามรับฟังความคิดเห็นอื่นๆ ด้วย ฟังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งข้างเดียวมันจะเป็นอยู่อย่างนี้ประเทศไทย ก็ไปไม่ได้ เห็นใจเขา สงสารเขา
พล.อ.ประยุทธ์ยังชี้แจงในประเด็นเดียวกันนี้ ระหว่างสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตอนหนึ่งว่า เป็นกังวลกับเด็กเหล่านี้ อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจถูกชักชวน อาจถูกปลุกมาโดยฟังความข้างเดียว จึงขอให้นักศึกษาทุกคนที่ชุมนุมเวลานี้ช่วยฟังข้อมูลของรัฐบาลที่ได้แถลงออกไป และเลือกฟังดูว่าจะเชื่อทางไหนอย่างไร ตนไม่ต้องการให้ไปทางใดทางหนึ่งทั้งสิ้นเว้นเสียแต่ว่ามีบางฝ่ายต้องการให้ไปทางใดทางหนึ่ง
"สิ่งที่เป็นกังวลคือกฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าวันนี้วันหน้า ผมไม่ได้ขู่ หลายๆ อย่างถูกดำเนินการเป็นคดีความทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเมื่อปี 2553, 2557 ยังเป็นคดีทั้งหมด ไม่ว่าจะสีไหนก็ตาม ที่ผ่านมาปี 14 ปี 16 มันก็อีกกรณีหนึ่ง ซึ่งวันนี้เราไม่ได้ทำแบบนั้นที่จะทำให้เกิดเงื่อนไข"
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้มีเรื่องเดียวที่เกิดเหตุการณ์ในปี 2557 ก่อนหน้านั้นพวกท่านก็ทราบดีว่าปี 2553 ก็รู้อยู่ว่าคนที่ออกมาจำนวนมาก คือ ใคร ทำเพื่ออะไร ปลุกระดมกันอย่างไร สิ่งที่ผมห่วงคือ ห่วงอนาคตของคนเหล่านี้มากกว่า
"ผมไม่ได้โกรธเด็กๆ หลานๆ ลูกๆ เลย เพราะเขาเป็นผู้ที่มีแรงกระตุ้นพอสมควร เด็กรุ่นใหม่เราต้องทำให้เขาเกิดประโยชน์สูงสุด ผมไม่ได้เคยสั่งการว่าจะต้องไปปะทะ ไม่เคยสั่งการอย่างนั้นเลย เว้นแต่เป็นการป้องกันตัวเอง โดยจะต้องใช้มาตรการที่เบาที่สุด ขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ด้วย ถ้าเขาไม่ทำเขาก็มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ต้องช่วยกันคิดทั้งสองทาง ผมไม่โทษนักศึกษา แต่ผมอาจจะต้องกล่าวถึงคนที่ไปนำสิ่งเหล่านี้ออกมา ผมคิดว่าอันตรายที่สุดเลยนะ แล้วอนาคตเขาจะหมดไปในวันหน้าด้วยคดีอาญา ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกจริงๆ ปี 14 ปี 16 ก็เป็นตัวอย่างแล้วมา 2553 ก็เป็นตัวอย่างใหญ่โต หลายคนก็เข้าไปเกี่ยวข้องอีก ปี 2557 เช่นกัน"
เตือนเรื่องหมิ่นสถาบันฯ
นายกฯ เตือนว่า ขณะนี้ได้มีการนำเรื่องหมิ่นสถาบันฯ เข้ามาไปขับเคลื่อนด้วย ยอมหรือไม่ ถ้าท่านยอมตนก็โอเค ถ้าท่านเห็นว่าถูกต้องตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน จำเป็นต้องว่าไปตามกฎหมาย อย่าไปทำอย่างนั้น ตนขอโดยเด็ดขาด คิดว่าสภาแห่งนี้เป็นสภาที่เคารพสถาบันฯ ตนเชื่อมั่นอย่างนั้น อย่าทำโดยเด็ดขาด ถ้าไปสู่ตรงนั้นจะเกิดเรื่องขึ้นอย่างที่ท่านว่าเมื่อสักครู่
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย โพสต์เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ระบุว่าแผนของฮ่องกงโมเดล มักจะจบลงด้วยความรุนแรง เลือดเนื้อที่บริสุทธิ์ของเยาวชน โดยมีทีมบริหารแผน และถ้ามีความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ก็จะใช้สื่อกระพือว่าเป็นความรุนแรงจากทางรัฐบาล พอสรุปแผนการได้ 5 ขั้น
1.ปลุกระดมเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา ทั้งจริงเท็จปะปนกันไป ที่เห็นชัดๆ ตอนนี้คือสร้างข้อมูลเท็จเผยแพร่ว่าตนเองคือนักประชาธิปไตย ต่อต้านกองทัพ ทั้งๆ ที่ทหารในพรรคตนเองก็มีปัญหา ต่อต้านการเกณฑ์ทหาร ทำลายความเชื่อถือของศาล กล่าวหาการปฏิวัติเพราะทหาร โดยไม่สนใจรากเหง้าปัญหาจากนักการเมือง เยาวชนรู้ไม่เท่าทันก็หลงเชื่อ
2.คดียุบพรรคจึงเป็นแรงกระตุ้นสำคัญ เพื่อแสดงออกถึงการไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล และสร้างข้อมูลเท็จว่าถูกกลั่นแกล้ง โดยเฉพาะข้อความผู้มีอำนาจชี้นำ รวมทั้งผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ผิดไม่ยอมรับผิด
3.เรียกร้องพลังบริสุทธิ์ของเยาวชน ให้มาช่วยปกป้องความผิดตนเอง ในระยะแรกเริ่มใช้การแสดงออกในรูปแฟลชม็อบ จนกระทั่งกระแสติดจึงประกาศการลงถนนอย่างชัดเจน
4.ยั่วยุให้มีการปราบปรามจากฝั่งรัฐบาล เพื่อประจานความรุนแรงต่อนานาชาติ ซึ่งรัฐบาลน่าจะรู้ทัน สิ่งที่น่ากังวลคือการกระทำแบบชายชุดดำ ที่ทำให้เสียชีวิต เลือดเนื้อของลูกหลาน และโยนเรื่องว่ารัฐบาลทำ นำไปสู่ความรุนแรงจริงๆ
5.เมื่อเกิดความรุนแรงจริงๆ จะเรียกร้องต่างชาติให้เข้ามาแทรกแซง ซึ่งต่างชาติก็พร้อมที่จะร่วมมือ เพราะแผนปฏิบัติการที่เกิดขึ้น ได้เห็นการแทรกแซงทั้งบนดินในนามสถานทูตและใต้ดินผ่านองค์กรต่างชาติในรูปของประชาธิปไตย แผนฮ่องกงโมเดล
ขณะนี้อยู่ในขั้นที่ 3 อยู่ที่พลังรักชาติไทยทุกคนต้องช่วยกันให้ความรู้ลูกหลาน อย่าให้คนพวกนี้ร่วมมือกับต่างชาติ เอาเลือดเนื้อและชีวิตของเยาวชนเราไปเป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจ ที่เลวร้ายที่สุด ช่วงนี้เราได้เห็นการขยับจากคนแดนไกล ผู้อยู่เบื้องหลังการเผาบ้านเผาเมืองมาแล้ว การทำลายบ้านเมืองเพื่อแสวงหาอำนาจของคนโกงแล้วหนี บ้านเมืองก็แย่แล้ว มาเจอพวกโกงร่วมมือกับฮ่องเต้โกหกและต่างชาติที่บังหน้าด้วยประชาธิปไตย ไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร
ยั่วยุให้มีการใช้กำลังปราบ
ด้านนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ข้อมูลลับจากกูรูข่าวกรองคงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม ธ ป และ ช จึงกล้าเปิดหน้าท้าทายปลุกกระแสนิสิตนักศึกษา หรือการเปิดอภิปรายนอกสภาแบบไม่สนคดี ทั้งๆ ที่ไม่มีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครองแล้ว จุดมุ่งหมายของพวกเขามีอะไรซ่อนอยู่ถึง 3 เด้ง คือ
1.ต้องการให้มีการฟ้องและจับกุมดำเนินคดี เพื่อป่าวประกาศให้สาวกและกลุ่มนิสิตนักศึกษาออกมาชุมนุมเรียกร้องลงสู่ถนน สร้างความวุ่นวายกลายเป็น “ฮ่องกงโมเดล”
2.ยั่วยุให้มีการใช้กำลังปราบ จนกลายเป็นเป้าให้ต่างชาติถล่มโจมตี จนอาจทำให้รัฐบาลต้องลาออก
3.หากการเดินเกมตาม 1 และ 2 ไม่ประสบความสำเร็จ แกนนำเหล่านั้นจะได้ขอลี้ภัยไปยังประเทศที่เสี้ยมอยู่เบื้องหลัง ที่ได้ตกปากรับคำกันไว้ก่อนแล้ว
ขณะที่ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า หนุ่มน้อยผมยาวที่ มศว เมื่อวาน เขาพูดหมิ่นเหม่ ม.112 มาก ที่สำคัญนักศึกษาหลายร้อยคนที่ร่วมชุมนุมปรบมือเห็นด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจาก สศจ. ที่ลี้ภัยอยู่ที่ฝรั่งเศส (เจ้าตัวสารภาพเองผ่านไมค์) และคิดแบบเดียวกับสิ่งที่ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ คิดในใจ
สิ่งที่หนุ่มน้อยผมยาวคนนี้พูด แทบไม่ต่างจากธนาธรในหนังสือ "Portrait ธนาธร" ที่รวมบทสัมภาษณ์ธนาธร ปี 2561 เลย ตรงนี้แหละที่ทำให้การเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลของคนรุ่นใหม่หลังจากนี้ มีส่วนผสมของ 14 ตุลาโมเดล, 6 ตุลาโมเดล และฮ่องกงโมเดล ผสมผสานกัน
การชุมนุมของคนรุ่นใหม่ตามมหา'ลัยต่างๆ ผมมองว่าจุดติดแล้วแบบไฟลามทุ่ง ซึ่งคล้ายไฟไหม้กองฟาง แต่น่าห่วงที่มันจุดติดตอนที่ภัยจากไวรัสโควิด-19 มาที่ประเทศไทยพอดี
นางทยา ทีปสุวรรณ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ภรรยานายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รมว.ศึกษาธิการ ระบุว่า การเมืองคือการเมือง เราเห็นต่างได้ รัฐบาล คือรัฐบาล เราไม่พอใจได้ เราวิจารณ์ได้ แต่สถาบันพระมหากษัตริย์คือเสาหลักที่ยึดโยงจิตใจคนไทยมานานแสนนาน...อย่าฟังแต่การปลุกระดม อย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพียงเพื่อจะสร้างความแตกแยก จนดึงฟ้าต่ำเช่นนี้เลย
เช้าวันเดียวกันนี้ บริเวณประตูทางเข้า รร.เตรียมอุดมศึกษา กลุ่มนักเรียน รร.เตรียมอุดมศึกษา ประมาณ 150 คน ที่สวมใส่หน้ากากอนามัย ได้รวมตัวกันทำกิจกรรมต่อต้านเผด็จการ โดยมีการประกาศแถลงการณ์, ทำบูมเดโมเครซี, ร้องเพลงประจำโรงเรียน, ร้องเพลง “ดูยูเฮียร์เดอะพีเพิลซิง” จากละครเพลง “เลส์ มิเซราบส์” ซึ่งเป็นเพลงปลุกใจ ที่นิยมนำมาร้องกันในการชุมนุมต่างๆ ทั่วโลก
จากนั้นได้ร่วมกันชูสามนิ้วพร้อมทั้งตะโกน "เกียมอุดมไม่ก้มหัวให้เผด็จการ” ก่อนที่จะให้นักเรียนที่เข้าร่วมชุมนุมเขียนข้อความแสดงความคิดเห็นทางการเมืองลงบนกระดาษและผ้าสีขาวขนาดใหญ่ โดยมี น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยมาให้กำลังใจนักเรียน รร.เตรียมอุดมศึกษาด้วย ทั้งนี้ กลุ่มนักเรียนได้ใช้เวลาชุมนุมประมาณ 30 นาที และหลังการชุมนุมแกนนำนักเรียนปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ ให้ติดตามแถลงการณ์ทางทวิตเตอร์เท่านั้น
ด้านนายโสภณ กมล ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กล่าวว่า ทางโรงเรียนทราบว่าจะมีนักเรียนมาชุมนุมแสดงความคิดเห็นที่บริเวณหน้าโรงเรียน ซึ่งพวกเขาเลือกสถานที่กันเอง เด็กเขาโตแล้ว มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทางโรงเรียนจึงจัดครูเวรและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาคอยดูแลอย่าให้มีมือที่สาม อย่าใช้คำหยาบคายกระทบใคร การแสดงออกก็ให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย อย่าใช้ถ้อยคำหมิ่นเหม่ และไม่ให้เอาคนนอกเข้ามาร่วม ถ้าเฉพาะนักเรียนของเราทางโรงเรียนก็พร้อมรับฟัง
“ยุคนี้อย่าไปปิดกั้น ผมก็อยากฟังว่าเด็กๆ เขาคิดอย่างไร ไม่ได้มองว่าเป็นสิ่งเลวร้าย ที่เด็กเขาคิดเราอาจจะคาดไม่ถึง แต่เตือนว่าการที่เขาคิดอย่างนี้ ถ้ามีคนคิดต่างก็ให้รับฟัง ไม่ใช่ไปด่าคนที่คิดต่าง แต่ให้นำความคิดต่างนั้นมาวิเคราะห์ด้วยเหตุด้วยผล” ผอ.รร.เตรียมอุดมฯ กล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |