อัดฉีดเอสเอ็มอี


เพิ่มเพื่อน    

 

          เห็นได้ชัดว่าปีนี้คงจะเป็นปีทองของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) อีกปีหนึ่ง หลังจากที่หลายหน่วยงานออกกิจกรรมและโครงการมาสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) หรือ บอร์ด สสว. โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก็ได้มีการอนุมัติและเห็นชอบในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็ง เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมให้อีก ซึ่งเป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณปี 2562-2563

โดยแบ่งเป็น 1.การจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีรายย่อย กรอบวงเงินงบประมาณ 10,000 ล้านบาท ภายใต้มาตรการเพื่อการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ส่วน ได้แก่โครงการสนับสนุนเอสเอ็มอีรายย่อย ผ่านกองทุน สสว. วงเงิน 5,000 ล้านบาท มีผู้ประกอบการที่จะได้รับการสนับสนุนไม่น้อยกว่า 4,890 ราย

แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ บุคคลธรรมดา วงเงินกู้ไม่เกิน 500,000 บาท นิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.0 ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี ระยะปลอดชำระคืนเงินต้นไม่เกิน 1 ปี ดำเนินการโดย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์

และสนับสนุนงบประมาณโครงการ บสย.เอสเอ็มอีสร้างไทย โดย สสว.จ่ายเงินสมทบในการจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จำนวน 5,000 ล้านบาท วัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลืออุดหนุนเอสเอ็มอี ระยะเวลาค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี โดยให้เป็นเงินสมทบในการจ่ายค่าประกันชดเชยให้ บสย. ในอัตรา 10% ส่วน บสย.จ่ายค่าประกันชดเชยในอัตรา 30% รวมเป็นค่าประกันชดเชย 40% ทั้งนี้ จะมีผู้ประกอบการที่ได้รับความช่วยเหลือไม่น้อยกว่า 70,000 ราย

          และ 2.โครงการส่งเสริมความรู้ด้านบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและสนับสนุนเอสเอ็มอีที่ทำการค้าระหว่างประเทศ เสนอโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อผ่อนภาระของผู้ประกอบการและแรงกดดันจากค่าเงินบาทแข็ง วงเงิน 450 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรก วงเงินงบประมาณ 225 ล้านบาท และระยะที่ 2 วงเงินงบประมาณ 225 ล้านบาท พิจารณาอนุมัติวงเงินอุดหนุน 100,000 บาทต่อราย ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการที่ทำการค้าระหว่างประเทศมีความรู้จากโครงการดังกล่าว จำนวน 2,000 ราย โดยมีธนาคารรัฐและเอกชนเป็นหน่วยร่วมดำเนินงาน

                ขณะที่กิจกรรมที่ 3 คือ การจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อใช้ในการดำเนินงานมาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมครบวงจร (มาตรการ MSME 2020) งบประมาณ 215 ล้านบาท ดำเนินการ 13 มาตรการ โดยมุ่งเน้นไปยังประเด็นต่างๆ อาทิ 1.การปรับสถานะกองทุนภาครัฐที่เป็นแหล่งเงินทุน ให้เป็นเงินทุนหมุนเวียน, การให้ บสย.พิจารณาการค้ำประกันทางตรงแก่เอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ, พัฒนาระบบการให้ความรู้ในการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร, การส่งเสริมการจัดทำบัญชีของวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจรายย่อย เป็นต้น

และอีกหนึ่งกิจกรรมคือ การจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อดำเนินโครงการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ระยะที่ 3 งบประมาณ 40 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการ 2 ปี เพื่อจัดทำนโยบายการปฏิรูปปรับปรุงแผนปฏิบัติการและจัดทำข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อช่วยผลักดันอันดับของประเทศไทยในรายงานความยากง่ายในการประกอบธุรกิจให้ดีขึ้น

ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดที่กล่าวมานั้นมีเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนเอสเอ็มอีทุกมิติ ทั้งปรับปรุง ซ่อมแซม ขยายกิจการ และเพิ่มกำลังการผลิต ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มขึ้น และยังคาดว่าจะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินทุนในระบบ รวมทั้งเกิดการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อประเทศไทยอย่างยิ่งในช่วงที่มีปัจจัยลบจากทั้งในและนอกประเทศ.

ณัฐวัฒน์ หาญกล้า


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"