7:2ยุบอนาคตใหม่ ตัดสิทธิกก.บห.10ปี/ธนาธรผุดคณะลุยต่อ


เพิ่มเพื่อน    

  มติศาลรัฐธรรมนูญ 7 ต่อ 2 สั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี ชี้ทำสัญญาเงินกู้เลี่ยงบริจาคให้พรรคการเมือง 10 ล้านบาท พบทำสัญญาให้กู้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดอกเบี้ยต่ำ ไม่เป็นไปตามปกติทางการค้า ถือเป็นประโยชน์อื่นใดหรือส่วนลดส่อให้เห็นการครอบงำ จับพิรุธจ่ายเงินคืนภายใน 2 วัน ผิดปกติวิสัย น้ำตาท่วมตึกไทยซัมมิท "ธนาธร" ประกาศจัดตั้ง "คณะอนาคตใหม่" ส่วน "ปิยบุตร" ลั่นนี่คือไฟลามทุ่ง! ขอเป็นปีศาจเพื่อหลอกหลอนคนในโลกเก่า ส่งสัญญาณไปถึงผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเขาจะไม่ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ

    เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่  21 กุมภาพันธ์ 2563 องค์คณะตุลาการออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้พิจารณายุบพรรคอนาคตใหม่ ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 72 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 กรณีพรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191.2 ล้านบาท 
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนศาลอ่านคำวินิจฉัย มีผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ทยอยเดินทางไปยังอาคารไทยซัมมิท ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ของตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ เพื่อจับจองพื้นที่และซื้อของที่ระลึก รอให้กำลังใจนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค และบรรดาแกนนำพรรค ส.ส.พรรค ที่ร่วมลุ้นคดีชี้ชะตาพรรคอนาคตใหม่ด้วยกัน
    นายวรวิทย์ กังศศิเทียม ตุลาการรัฐธรรมนูญ เริ่มต้นอ่านคำวินิจฉัยว่า คดีนี้ กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อให้มีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยศาลเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องไต่สวนพยานบุคคล แต่เพื่อประโชน์แห่งการพิจารณาให้พยานบุคคลทั้ง 17 ปาก จัดทำบันทึกถ้อยคำหรือความเห็นยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยศาลกำหนดประเด็นวินิจฉัยไว้ 4 ประเด็น ดังนี้ 1.ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 หรือไม่  2.มีเหตุให้ยุบพรรคตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 หรือไม่ 3.คณะกรรมการบริหารพรรคจะถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ และ 4.ผู้ที่เคยเป็น กก.บห.พรรคที่ถูกสั่งยุบพรรค จะจดทะเบียนก่อตั้งพรรคใหม่ภายในเวลา 10 ปีหรือไม่ 
    โดยข้อเท็จจริงเบื้องต้นตลอดจนความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องและพยานหลักฐานต่างๆ พบว่า พรรคอนาคตใหม่นำส่งงบการเงินประจำปี พ.ศ.2561 และนำส่งงบการเงินต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง 2 ครั้ง ในวันที่ 3 ต.ค.61 และ 31 ธ.ค. โดยระบุว่ามีรายได้  71 ล้าน ค่าใช้จ่าย 72.6 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ 1.4 ล้านบาท ต่อมาจึงทำสัญญากู้เงิน 161.2 ล้านบาท โดยรับเงินต้นเรียบร้อยและยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี กำหนดส่งดอกเบี้ยทุกเดือน 
    และต่อมามีการชำระเงินกู้บางส่วนรวม 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 วันที่ 4 ม.ค.62 จำนวน 14.2 ล้านบาท, ครั้งที่ 2 วันที่ 21 ม.ค.62 โดยชำระคืนเป็นเงินสดจำนวน 8 ล้านบาท และครั้งที่ 3 วันที่ 29 ม.ค.62 ชำระคืนโดยโอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ สาขาไทยซัมมิท จำนวน  50 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 72 ล้านบาท ต่อมาพรรคอนาคตใหม่ทำสัญญากู้เงินจากนายธนาธรอีก 30 ล้านบาท โดยในวันทำสัญญาได้รับเงินต้นไปจำนวน  2.7 ล้าน ทำสัญญาชำระดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปีของต้นเงินกู้ ซึ่งนายธนาธรยอมรับว่ามีการแก้สัญญาที่กำหนดให้ส่งดอกเบี้ยทุกเดือนมาเป็นส่งดอกเบี้ยทุกปี  
ศาลใช้เวลาพิจารณา 71 วัน 
    นอกจากนี้ นายธนาธรยังบริจาคเงินจำนวน  8.5 ล้านบาทให้กับพรรคอนาคตใหม่ ในส่วนของการชำระคืนเงินกู้พบว่า มีการจ่ายดอกเบี้ยพร้อมเบี้ยปรับ 5.8 ล้าน และการชำระดอกเบี้ยพร้อมเบี้ยปรับ 1.4 ล้านบาท
    นายวรวิทย์กล่าวด้วยว่า ประเด็นที่ 1 กกต.มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้ยุบพรรคการเมืองตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92 หรือไม่ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดว่าเมื่อผู้ร้องมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าพรรคการเมืองกระทำความสามารถยื่นศาลสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น หรือเมื่อความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองหรือเลขาธิการ กกต. ให้รวบรวมขอเท็จจริง โดยระเบียบ กกต.ข้อ 54 วรรคหนึ่ง และข้อ 55 
    วรรคหนึ่งกำหนดหลักเกณฑ์รองรับไว้ ข้อโต้แย้งของพรรคอนาคตใหม่ที่ว่า คณะกรรมการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วว่าการกู้ยืมเงินของพรรคไม่มีมูลความผิด การที่นายทะเบียนพรรคการเมืองตั้งฐานความผิดเสนอต่อกรรมการ กกต.ให้มีมติยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลเห็นว่าความเห็นของกรรมการ กกต.มีอิสระไม่ผูกพันกับคณะกรรมการไต่สวน สืบสวน และวินิจฉัย ขณะที่การดำเนินคดีตามคำร้องของนายศรีสุวรรณ จรรยา ก็เสร็จสิ้นจากคณะกรรมการไต่สวนฯ แล้ว จึงยังไม่ถึงขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหา ประกอบกับการแจ้งข้อกล่าวหาเป็นกระบวนการดำเนินคดีอาญา ซึ่งแยกเป็นอิสระต่อกันจากกระบวนการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค ข้อโต้แย้งของพรรคอนาคตใหม่จึงฟังไม่ขึ้น 
    นายวรวิทย์อ่านคำวินิจฉัยต่อไปว่า การที่ผู้ถูกร้องโต้แย้งว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยคดีนี้ ศาลเห็นว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่วินิจฉัยคดีได้ ข้อโต้แย้งของพรรคอนาคตใหม่ฟังไม่ขึ้น และเป็นที่ยุติตามที่ กกต.ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญได้ดำเนินการตามกระบวนการพิจารณาตั้งแต่การรับคำร้องในวันที่ 25 ธ.ค.62  และมีการประชุมองค์คณะตุลาการอย่างต่อเนื่องรวม 11 ครั้ง จนกระทั่งนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 21 ก.พ.62 ศาลได้ใช้เวลาพิจารณาคดีอย่างละเอียดถี่ถ้วน นานพอสมควร โดยให้ความเป็นธรรมแก่ทั้ง 2 ฝ่าย ได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา รวมระยะเวลา 71 วัน จึงไม่ได้เร่งรัดหรือรวบรัด
    ต่อมา นายปัญญา อุดชาชน ตุลาการรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัยในประเด็นที่ 2 ว่ามีเหตุยุบพรรคผู้ถูกร้องตามมาตรา 92 หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 45 บัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพบุคคลในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมือง ตามวิถีทางประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับการบริหารพรรคการเมือง ให้เป็นไปโดยเปิดเผยตรวจสอบได้ ให้สมาชิกมีส่วนร่วม กำหนดนโยบาย ส่งผู้สมัคร กำหนดมาตรการ ให้สามารถดำเนินการกิจการพรรคได้โดยอิสระ ไม่ถูกครอบงำหรือถูกบุคคลที่ไม่ได้เป็นสมาชิกชี้นำ ครอบงำ และการให้กำหนดมาตรการให้สมาชิก ไม่กระทำฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด 
    กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง บทบัญญัติดังกล่าว รัฐธรรมนูญมุ่งหมายเพื่อให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชนอย่างกว้างขวาง มีการบริหารกิจการภายในของพรรคเป็นไปตามหลักประชาธิปไตยภายในพรรคการเมือง โดยเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและพรรคการเมืองสามารถปฏิบัติหน้าที่ ดำเนินกิจกรรมได้โดยอิสระ ปราศจากการครอบงำหรือชี้นำโดยบุคคลหรือคณะบุคคลใดๆ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจการพรรคนั้น เพื่อป้องกันมิให้พรรคการเมืองเป็นธุรกิจการเมือง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งอาศัยความได้เปรียบทางการเงินมาเป็นผู้บงการพรรคแต่เพียงผู้เดียวหรือกลุ่มเดียวได้ รัฐสภาจึงตรา พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองขึ้น เป็นกฎหมายตามมาตรา 45 บัญญัติไว้
มีอิทธิพลครอบงำและชี้นำ 
    ส่วนมาตรา 66 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมืองที่ห้ามบุคคล บริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้พรรคการเมืองเกิน 10 ล้านบาทต่อปี บทบัญญัติดังกล่าวต้องการควบคุมพรรคการเมืองรับบริจาคเงินจากบุคคล เป็นมาตรการป้องกันไม่ให้พรรค บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดอาศัยความได้เปรียบทางการเงินมาเป็นนายทุนพรรคการเมือง เพื่อบงการหรือมีอิทธิพลครอบงำและชี้นำ การดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองให้เป็นไปตามประสงค์ของตนแต่เพียงผู้เดียวหรือกลุ่มเดียวได้ ทำให้การบริหารกิจการบ้านเมืองไม่เป็นไปโดยอิสระ ทำให้การตรวจสอบถ่วงดุลกันภายในพรรคไม่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง อันเป็นการทำลายหลักความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคการเมืองตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 45 
    และส่งผลทำให้พรรคการเมืองถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบด้วยกฎหมายของผู้บงการ หรือผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคการเมือง จึงจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมการรับบริจาคของพรรคการเมืองเพื่อสร้างเสริมให้พรรคการเมืองมีความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคการเมืองเพื่อให้ประชาชนมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับ
    ประเด็นที่ต้องพิจารณามีว่าการที่พรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดโดยรู้หรือควรรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันจะเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 72 พ.ร.ป.พรรคการเมือง มีความหมายแค่ไหนเพียงไร เห็นว่ามาตรา 72 มีข้อห้าม 2 กรณี 
    1.พรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำการฝ่าฝืน รับบริจาคเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรรู้ว่าได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นทั้งการได้มาและวิธีการได้มาซึ่งเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เปิดเผย 
    2.พรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง กระทำการฝ่าฝืนรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการได้มา ที่มีแหล่งที่มาจากการกระทำผิดกฎหมายหรือเป็นเงินสกปรก การฟอกเงิน การค้าของเถื่อน ค้ามนุษย์ การทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งการได้มาทั้ง 2 กรณี ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเท่าใด ย่อมถือว่าเป็นการกระทำมิชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น 
    ด้วยเหตุนี้ พ.ร.ป.มาตรา 72 เพื่อไม่ให้พรรคการเมืองไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ อันจะทำให้พรรคการเมืองกลายเป็นผู้สนับสนุน หรือมีส่วนร่วมช่วยเหลือกระทำความผิดไปด้วยมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ที่มีต่อระบบการเมืองของประเทศไทย เป็นมาตรการสำคัญในการเสริมสร้างระบบการเมืองของไทยให้มีความโปร่งใส น่าเชื่อถือของประชาชน สอดคล้องมาตรา 77 วรรค 1 ของกฎหมายเดียวกัน ที่กำหนดมาตรการ วิธีการให้พรรคการเมืองปฏิบัติ เพื่อให้การบริจาคของพรรคการเมืองเป็นไปตามกฎหมายเปิดเผยและตรวจสอบได้
    ส่วนพรรคการเมืองสามารถกู้ยืมเงินได้หรือไม่ เห็นว่า การดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองต้องอาศัยรายได้ โดยกำหนดแหล่งที่มาไว้ในมาตรา 62 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง ดังนั้นเงินส่วนใดที่พรรคการเมืองนำมาใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมือง ที่ไม่มีแหล่งที่มาตามกฎหมายระบุไว้ ย่อมถือว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบ ด้วยมาตรา 62 พ.ร.ป.พรรคการเมือง ถึงแม้ว่าไม่ได้ห้ามการกู้ยืมเงินของพรรคการเมืองโดยชัดเจน แต่ไม่ได้รับรองว่าให้กระทำได้ ประกอบกับพรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน เงินกู้ แม้มิได้เป็นรายได้ แต่เป็นรายรับและเงินทางการเมือง การดำเนินการเกี่ยวกับการได้มาและการใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองจึงจะทำได้ภายในขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น
ประโยชน์อื่นใด 
    เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อต้องการกำหนดมาตรการทางกฎหมาย กำกับให้พรรคการเมืองตรวจสอบได้และให้พรรคการเมืองดำเนินการโดยอิสระ ไม่ถูกครอบงำหรือชี้นำโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใด การกู้ยืมเงินของพรรคการเมืองจึงต้องสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย 
    ปัญหามีว่า การรับบริจาคเงินหรือทรัพย์สินประโยชน์อื่นใดตามมาตรา 72 มีความหมายอย่างไร เห็นว่า เมื่อพิจารณานิยามคำว่าบริจาคตามมาตรา 4 ของกฎหมายเดียวกัน หมายรวมถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนคำว่าประโยชน์อื่นใด หมายถึงการให้ทรัพย์สิน บริการ ส่วนลด โดยไม่มีค่าตอบแทนหรือมีค่าตอบแทนที่ไม่เป็นไปตามปกติทางการค้า และการทำให้หนี้ที่พรรคการเมืองเป็นหนี้สิ้นไปด้วย ซึ่งการที่กฎหมายใช้คำว่าให้หมายความรวมถึงในการนิยามความหมาย ของคำในกฎหมาย ย่อมมีความหมายรวมถึงสิ่งอื่น นอกจากสิ่งที่จำกัดความหรือให้ความหมายไว้ด้วย 
    เพราะฉะนั้นการให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรคการเมือง ย่อมความหมายรวมถึงการกระทำที่มีลักษณะทำนองเดียวกับการให้บริการ หรือการให้ส่วนลด หรือว่ามีค่าตอบแทนหรือมีค่าตอบแทนที่ไม่เป็นไปตามปกติทางการค้า และทำให้หนี้ของพรรคการเมืองลดลงหรือสิ้นไป หรือการให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรคการเมือง ที่ไม่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ ไม่ต้องการออกค่าใช้จ่าย ซึ่งปกติต้องจ่าย อันมีลักษณะเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ดังนั้น การให้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย หรือคิดดอกเบี้ยโดยไม่ปกติทางการค้า หรือการทำให้หนี้พรรคการเมืองลดลง หรือการได้เงิน หรือผลประโยชน์อื่นใด ที่ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายที่ปกติต้องจ่าย ย่อมถือว่าเป็นประโยชน์อื่นใดของพรรคการเมือง ตามมาตรา 4 ต้องอยู่ภายใต้เจตนารมณ์มาตรา 45 วรรค 2 และอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์เงื่อนไขการบริจาค ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองมาตรา 66 และมาตรา  72 ด้วยเหตุนี้ คำว่าบริจาคตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองและประโยชน์อื่นใดของ พ.ร.ป.พรรรคการเมือง จึงมีความหมายเฉพาะตามกฎหมายนี้
    เพื่อกำหนดสิ่งที่อยู่ในขอบข่ายบังคับแห่งกฎหมายเรื่องนี้และเป็นไปตามวัตถุประสงค์กฎหมายรัฐธรรมนูญที่ต้องการควบคุมการสนับสนุนทางการเมืองให้เป็นไปโดยพอเหมาะพอควรแก่การดำเนินการ โดยกำหนดให้พรรคมีระบบทางการเงิน บัญชี รวมทั้งรายได้ของพรรคที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ คุ้มครองหลักประชาธิปไตยภายในพรรค และป้องกันไม่ให้บุคคลใดอาศัยพรรคเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ส่วนตน หรืออาศัยความได้เปรียบทางการเงินมาเป็นผู้บงการ หรือมีอิทธิพลครอบงำ ชี้นำกิจการของพรรคการเมืองแต่เพียงผู้เดียวหรือกลุ่มเดียวได้ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏหมายงบการเงินประจำปี 2561 ของพรรคอนาคตใหม่ ตั้งแต่ 3.ต.ค.-31 ธ.ค.61 ที่ยื่นต่อ กกต.ที่ระบุว่ามีรายได้จากเงินทุนประเดิม 1,067,124 บาท รายได้รวม 7,173,168 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายรวม 72,663,705 บาท ค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ 1,490,537 บาท แต่พรรคกลับทำสัญญากู้เงินจากนายธนาธร รวม 2 ฉบับ รวม 191.2 ล้านบาท แต่การคิดอัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ไม่เป็นไปตามปกติทางการค้า ถือเป็นการให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรคการเมืองบรรดาที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ แม้พรรคอนาคตใหม่จะชำระหนี้เงินกู้บางส่วนให้แก่นายธนาธรหลายครั้ง แต่การชำระคืนครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2562 เป็นเงินสดจำนวนเงิน 14 ล้านบาท ภายหลังที่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินเพียง 2 วัน ถือเป็นการผิดปกติวิสัย 
ตัดสิทธิ์การเมือง 10 ปี
    นอกจากนี้ สัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 11 เม.ย.2552 ซึ่งมีวงเงินกู้จำนวน 30 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ปี แต่วันทำสัญญาพรรคอนาคตใหม่กลับรับเงินกู้เพียง 2.7 ล้านบาท การทำสัญญากู้เงินฉบับเพิ่มเติมโดยที่ยังมีหนี้เงินกู้ค้างชำระอยู่ไม่เป็นไปตามปกติวิสัย การทำสัญญาเงินกู้ดังกล่าวจึงลักษณะที่มีข้อตำลงในสัญญาและพฤติการณ์ในการเอื้อประโยชน์ ช่วยเหลือพรรคอนาคตใหม่เป็นกรณีพิศษ ไม่เป็นปกติในทางการค้า และไม่เป็นไปตามปกติวิสัยในการให้กู้เงิน และการชำระหนี้เงินกู้ยืมและการคิดดอกเบี้ยก็ไม่เป็นไปตามปกติทางการค้าสำหรับการกู้ยืมเงินที่ไม่มีหลักประกัน ถือเป็นการให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรคอนาคตใหม่ บรรดาที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ และเมื่อรวมประโยชน์อื่นใดที่พรรครับบริจาค กู้ยืมจำนวน 191.2 ล้านบาท กับเงินที่นายธนาธรบริจาคให้กับพรรคเมื่อปี 62 จำนวน 8.5 ล้านบาท ย่อมชัดแจ้งว่าเป็นกรณีการรับบริจาคเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทต่อปี  ซึ่งต้องห้ามตามมาตรา 66 วรรคสอง
    จากข้อเท็จจริงพฤติการณ์ดังกล่าวเห็นว่า การที่นายธนาธรให้เงินกู้พรรคอนาคตใหม่ เป็นการบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด และการที่นายธนาธรซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค ให้พรรคกู้ยืมเงินจำนวนมาก กก.บห.พรรคอนาคตใหม่ ควรที่จะรู้ว่าการเป็นหนี้จำนวนมากต่อบุคคลใด ย่อมก่อให้เกิดการครอบงำ ชี้นำโดยบุคคลที่เป็นเจ้าหนี้ อาศัยอำนาจแห่งมูลหนี้ ที่จะเรียกให้พรรคชำระหนี้ หรืองดเว้นการอันใดตามสัญญาก็ได้ ทั้งยังก่อให้เกิดความได้เปรียบทางการเงิน มาเป็นผู้บงการพรรคแต่เพียงผู้เดียวหรือกลุ่มเดียว อันส่งผลให้พรรคการเมืองเป็นธุรกิจการเมือง ดังนั้นการกู้ยืมเงินของพรรคอนาคตใหม่จึงมีเจตนาหลีกเลี่ยงการรับบริจาคเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นตามมาตรา 66 เมื่อการรับบริจาคดังกล่าวต้องห้ามตามมาตรา 66 จึงเป็นการรับบริจาคเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาชอบมิด้วยกฎหมายตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองมาตรา 72 กรณีจึงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคอนาคตใหม่กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 72 อันเป็นเหตุให้สั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองตามตรา 92 วรรสอง ประกอบวรรคหนึ่ง (3)
    ต่อมา นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัยในประเด็นที่ 3 ว่าเมื่อศาลตัดสินให้ยุบพรรคอนาคตใหม่แล้ว ต้องเพิกถอนสิทธิสมัครของกรรมการบริหารพรรคการเมือง ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่  2 ม.ค.62 และวันที่ 11 เม.ย.62 ซึ่งเป็นวันที่ทำสัญญากู้เงินอันเป็นการกระทำความผิดจนเป็นเหตุให้ถูกยุบพรรค โดยกำหนดระยะเวลาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี ซึ่งเหมาะควรกับความผิดที่ได้ฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 72 เรื่องห้ามบริจาคเงินให้พรรคการเมืองเกินกว่า 10 ล้านบาทต่อปี และห้ามพรรคการเมืองรับบริจาคโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยกรรมการบริหารของพรรคที่ถูกยุบ จะจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่อีกไม่ได้ภายในเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค
    ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 2 ให้ยุบพรรคอนาคตใหม่  สำหรับรายชื่อตุลาการเสียงข้างมาก 7 ราย ได้แก่ นายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ, นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นายบุญส่ง กุลบุปผา, นายปัญญา อุดชาชน, นายวรวิทย์ กังศศิเทียม และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ส่วนตุลาการเสียงข้างน้อย 2 ราย ได้แก่ นายชัช ชลวร และนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่และเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคเป็นจำนวน 10 ปี ประชาชนและสมาชิกพรรคที่มาร่วมลุ้นคำตัดสินของศาลต่างส่งเสียงโห่ร้องแสดงความไม่พอใจ และมีมวลชนบางกลุ่มหลั่งน้ำตาออกมา
11 ส.ส.อนาคตใหม่หมดสภาพ
    ทั้งนี้ กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ 16 คน เป็น ส.ส. 11 คน เมื่อศาลรัฐธรรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค กรรมการบริหารพรรคที่จะถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง คือ 1.นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค 2.นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค 3.น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ รองหัวหน้าพรรค 4.นายชำนาญ จันทร์เรือง รองหัวหน้าพรรค 5.พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรค 6.นายรณวิต หล่อเลิศสุนทร รองหัวหน้าพรรค (ไม่ได้เป็น ส.ส.) 7.น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ 8.นายไกลก้อง ไวทยการ นายทะเบียนพรรค 9.นายนิติพัฒน์ แต้มไพโรจน์ เหรัญญิก (ไม่ได้เป็น ส.ส.) 10.นายสุนทร บุญยอด กรรมการ (ไม่ได้เป็น ส.ส.) 11.น.ส.เยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ กรรมการ 12.นายสุรชัย ศรีสารคาม กรรมการ 13.นายเจนวิทย์ ไกรสินธุ์ กรรมการ 14.นายชัน ภักดีศรี กรรมการ (ไม่ได้เป็น ส.ส.) 15.น.ส.จารุวรรณ ศรัณย์เกตุ กรรมการ และ 16.นายนิรามาน สุไลมาน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ลาออกจากกรรมการบริหารพรรคไปก่อนหน้านี้ เพราะเป็นกรรมการบริหารพรรค ณ วันที่ถูกร้อง ทำให้เหลือ ส.ส. 65 คน ทำให้สภามี ส.ส.เหลืออยู่ทั้งสิ้น 487 คน
    ต่อมาเวลา 17.45 น. กรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.ที่ไม่ได้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นำโดยนายธนาธรและนายปิยบุตร ร่วมกันแถลงข่าวเพื่อแสดงจุดยืนและแนวทางการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไป
    โดยนายปิยบุตรกล่าวว่า คำวินิจฉัยในวันนี้ได้พูดถึงการไม่ให้นายทุนมาครอบงำพรรค และต้องการความโปร่งใส แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจะกลายเป็นเรื่องยอกย้อนที่สุด เพราะพรรคอนาคตใหม่ต้องการทำงานการเมืองอย่างโปร่งใส เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่ารายได้มาจากที่ใด ทุกอย่างเอาขึ้นบนโต๊ะ แต่เรากลับถูกยุบพรรค ในขณะที่พรรคการเมืองในไทยทั้งหลายทุกวันนี้ทำกิจกรรมต่างๆ ตั้งขึ้นมาใหม่พร้อมกับพรรคอนาคตใหม่ แต่กลับส่งผู้สมัครได้ครบหมด ขอถามจริงๆ ว่าเอาเงินมาจากไหน ผลสืบเนื่องจากคำวินิจฉัยคือ ต่อไปนี้พรรคการเมืองจงอย่าโปร่งใสและอย่าเปิดเผย แต่ต้องปิดให้มิดเพื่อให้อยู่รอด ยิ่งโปร่งใสยิ่งถูกยุบพรรค ประเทศไทยจะยอกย้อนแบบนี้เหรอ 
    เขากล่าวว่า จากคำวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติต่อเนื่องมายังพรรคอนาคตใหม่ ก่อนหน้านี้เราใช้รัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 เพิกถอนสิทธิ 5 ปีก็เยอะแล้ว แต่วันนี้กลับบอกว่านี่คือความพอสมควรแก่เหตุ จึงเพิกถอนสิทธิ 10 ปี ดังนั้นกลายเป็นว่าการเพิกถอน 10 ปีเป็นการบอกว่าปรานีเอ็งแล้ว รัฐธรรมนูญก่อตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมากำหนดหน้าที่กระบวนการและที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้คำวินิจฉัยเป็นเด็ดขาดและที่สุด และผูกพันทุกองค์กร  แต่คำวินิจฉัยจะมีผลผูกพันในใจคนไทยทั้งประเทศไทยต้องตั้งอยู่บนความชอบธรรม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มิใช่เป็นเพียงคนใส่ชุดครุยบนบัลลังก์ ที่ติดชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญ ก็ต่อมาตัดสินได้อย่างมีเหตุมีผล
    คณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบผู้อื่น ใครจะตรวจสอบ กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ คำถามนี้ คำตอบชัดเจนที่สุดคือประชาชนผู้ทรงอำนาจอธิปไตยสูงสุดของประเทศ ดังนั้น ประชาชนจึงเป็นผู้มีอำนาจและตรวจสอบ กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ถูกต้องหรือไม่ พวกท่านประชาชนเป็นคนตัดสินครับ
ตั้งคณะอนาคตใหม่
    "ผลสืบเนื่องทางการเมืองไทยจากคำวินิจฉัยวันนี้คือประเทศไทยไม่อนุญาตให้มีพรรคการเมืองที่ทำงานสร้างสรรค์ที่มีความคิดก้าวหน้าปฏิรูปประเทศถึงระดับโครงสร้าง ประเทศไทยเลือกใช้นิติสงครามเลือกจำกัดศัตรูทางการเมืองแบบเดิม และนิติสงครามเช่นนี้ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้ ตรงกันข้าม กลับตอกลิ่มความขัดแย้งมากกว่าเดิม พวกเขาเจ็บช้ำน้ำใจ พวกเขาตั้งคำถามดังๆ ว่ายุบพรรคที่เขาสนับสนุนได้อย่างไร ณ วันนี้มีคนอีกจำนวนมากที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ที่ไม่รู้เหตุการณ์ 10 ปีที่ผ่านมา แต่วันนี้เขาเห็นแล้วว่านิติสงครามเป็นอย่างไร ของเดิมยังไม่แก้ ความวัวยังไม่หาย ความควายเข้ามาอีก" 
    นายปิยบุตรกล่าวว่า หากการยุบพรรคครั้งนี้ เพียงเพราะว่าผู้มีอำนาจต้องการผลักไสผมและธนาธรออกไป ผมยืนยันว่าพวกเขาคิดผิดครับ เพราะความคิดแบบอนาคตใหม่จะเจริญงอกงามเติบโตกว้างยิ่งกว่า เพราะผมและธนาธรจะออกโลดแล่นทางการเมืองยิ่งกว่าเดิม หากคิดว่านี่เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม พวกเขาคิดผิดครับ เพราะนี่คือไฟลามทุ่ง พวกเขาคิดผิด นี่เป็นอาการที่แสดงให้เห็นว่าอำนาจที่เขาถืออยู่นั้นปราศจากความชอบธรรม จึงต้องหาทางมากำจัดพวกเรา 
    "นี่คือจุดเริ่มต้นของประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย เราจะร่วมกันต่อสู้ต่อไป ความคิดแบบอนาคตใหม่จะเติบโตยิ่งกว่าเดิม ผมและธนาธรจะรณรงค์ทางการเมืองทั่วประเทศอย่างไม่รู้เหนื่อย นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มต้น เพราะพวกเราเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นเพื่อหลอกหลอนคนในโลกเก่า ผมขอเชิญประชาชนที่ฟังการแถลงข่าวที่บ้านขอออกมารวมตัวที่พรรคอนาคตใหม่ เพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และแสดงให้เห็นพลังของพวกเรา และส่งสัญญาณไปยังผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเขาจะไม่ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการครับ" นายปิยบุตรกล่าว
    ด้านนายธนาธรกล่าวว่า พรรคอนาคตใหม่ได้รับการรับรองจากกกต. ให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ 3 ต.ค.61 นับจากวันที่พรรคได้รับการรับรอง โดยพรรคอนาคตใหม่มีชีวิตทั้งสิ้น 507 วัน หรือ 1 ปี 4 เดือน 18 วัน พรรคอนาคตใหม่สิ้นสุดลงแล้ว ในฐานะหัวหน้าพรรค ขอโทษพี่น้องประชาชนที่พวกเราทำตามสัญญาไม่ได้ เราสัญญากับทุกท่านว่าเราจะหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจ คสช. ร่วมกันแก้ รธน.2560 ปฏิรูปกองทัพ สิ่งเหล่านี้ เราทำไม่ได้ตามสัญญา
    "แต่วันนี้อย่างน้อยที่สุด ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า ในวันที่สังคมไทยมืดมนที่สุด ผมไม่นั่งเฉยๆ เพื่อรอวันที่สังคมลุกเป็นไฟ แต่ผมลุกขึ้นมาเพื่อหวังจะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อผลักดันสังคมไปข้างหน้า อย่างน้อยที่สุด เราบอกลูกหลานได้เต็มปากในเรื่องนี้” นายธนาธรกล่าวทั้งตา
    จากนั้นนายธนาธรกล่าวว่า ขอประกาศจัดตั้งคณะอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นที่รวมตัวกันของกลุ่มคนที่ต้องการสืบสานอุดมการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์กลับไปเมื่อตอนที่เราตั้งพรรคอนาคตใหม่ครั้งแรก นั่นคือการปักธงความคิด.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"