21 ก.พ.2563 นายสุรงค์ บูลกุล ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยภายหลังการลงนามสัญญายุติข้อพิพาทางด่วนระหว่าง กทพ. กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ว่า การลงนามสัญญาในวันนี้ (20 ก.พ. 2563) นั้น ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา เห็นชอบขยายอายุสัญญาสัมปทานออกไปอีก 15 ปี 8 เดือน โดยสัญญาระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน A ช่วงรัชดาฯ-พระราม 9 ส่วน B ช่วงพญาไท-บางโคล่ และส่วน C ช่วงแจ้งวัฒนะ-รัชดาฯ จะสิ้นสุดวันที่ 28 ก.พ. 2563 เพื่อยุติข้อพิพาทและถอนฟ้อง ทั้ง 17 คดี แลกกับการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วน ระยะเวลา 15 ปี 8 เดือน หรือไปสิ้นสุดสัญญาพร้อมกันในวันที่ 31 ต.ค. 2578 พร้อมทั้ง BEM จะต้องยกเว้นค่าผ่านทางในวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีประกาศเป็นวันหยุดด้วย รวมถึงมีเงื่อนไขว่า กทพ.สามารถสร้างทางแข่งขันได้ โดยไม่ถูก BEM ฟ้องร้องได้อีกในอนาคต
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวนั้น เพื่อให้สัญญาเดินหน้าต่อเนื่องกับสัญญาเดิม พร้อมทั้งหากมีการต่อสู้คดี ยอมรับว่า กทพ.มีโอกาสแพ้คดีสูง จึงต้องมีการเจรจา เพื่อไม่ให้ประเทศเกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น ยืนยันว่า เป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของประเทศ และไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนแต่อย่างใด โดยถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นมา 25 ปี ขณะเดียวกัน หลังจากนี้ BEM จะไปถอนฟ้องคดีที่มีการฟ้องร้องต่อศาล ภายในวันที่ 29 ก.พ.นี้ โดยยืนยันว่าสามารถดำเนินการถอนฟ้องได้ทันอย่างแน่นอน เนื่องจากมีการเตรียมการมาเป็นระยะเวลานานแล้ว โดยสัญญาใหม่นั้นจะมีผล ในวันที่ 1 มี.ค. 2563 ขณะเดียวกัน กทพ. จะไปศึกษาเพิ่มการคล่องตัวของการจราจรทั้งระบบ รวมถึงการก่อสร้างทางขึ้น-ลงบริเวณสถานีกลางบางซื่อด้วย
“ยืนยันว่ารัฐบาลนี้ และบอร์ดชุดนี้ ไม่ได้สร้างปัญหา แต่มาเป็นผู้แก้ปัญหา และเชื่อว่าในผลการเจรจาในครั้งนี้ เป็นประโยชน์สูงสุด โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ หลังจากนี้ กทพ และ BEM จะไม่มีหนี้ต่อกัน เป็นการทำดีที่สุดต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งในวันที่ 21 ก.พ.นี้ จะเริ่มดำเนินการถอนฟ้องต่อศาล” นายสุรงค์ กล่าว
รายงานจาก กทพ. ระบุว่า กทพ. ขอชี้แจง กรณีในข้อสงสัยเรื่องการขยายสัญญาสัมปทานโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัช รวมถึงส่วนดี) และทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (ทางพิเศษอุดรรัถยา) โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า การเจรจาครั้งนี้จะทำให้ BEM มีสิทธิ์ต่อสัญญาได้อีก 20 ปี หลังจากที่การต่อสัญญาสิ้นสุดลงหรือไม่นั้น กทพ.ยืนยันว่า BEM จะไม่มีสิทธิ์ต่อสัญญาได้อีก 20 ปี หลังจากที่การต่อสัญญาสิ้นสุดลง เนื่องจากการเจรจาต่อสัญญายุติข้อพิพาทที่ได้รับการอนุมัติโดย ครม. เป็นการนำสิทธิ์การเจรจาเพื่อการต่อสัญญา ตามข้อ 21 ของสัญญาเดิมมาใช้ ซึ่งกำหนดให้ BEM สามารถเจรจาต่อสัญญาได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 10 ปี ดังนั้น เมื่อการต่อสัญญาในครั้งนี้ BEM สิ้นสุดลงในวันที่ 31 ต.ค.2578 จะมีสิทธิ์เจรจาต่อสัญญา เฉพาะเวลาส่วนที่เหลือเท่านั้น โดยในสัญญามีการระบุไว้อย่างชัดเจน
ขณะเดียวกัน ในส่วนของข้อสงสัยที่ว่า การเจรจาครั้งนี้ ทำไมจึงต้องนำรายได้จาก 3 สัญญามารวมกันนั้น กทพ. ให้รายละเอียดว่า การเจรจาต่อสัญญายุติข้อพิพาทครั้งนี้ เป็นการนำรายได้เฉพาะที่เป็นส่วนแบ่งของ BEM จากทางด่วนขั้นที่ 1 ทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน A, B, C ส่วน D และส่วน C+ มารวมกัน แล้วหักลบด้วยรายจ่ายจากการให้บริการทางด่วน (O&M และค่าบริหารจัดการ) ดอกเบี้ย และภาษี ให้เกิดเป็น Net Cash เพื่อนำมาชดเชยมูลหนี้ข้อพิพาท อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์พบว่า ในระยะเวลา 15 ปี 8 เดือน BEM จะมี Net Cash เป็น Nominal value เท่ากับ 59,600 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าหนี้ข้อพิพาทเป็นจำนวนมาก
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |