20 ก.พ.63 - ที่ห้องพิจารณา 716 ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.1940/2556 ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), บ.มติชน จำกัด, นายวรศักดิ์ ประยูรศุข บรรณาธิการ นสพ.มติชน, บ.ข่าวสด จำกัด และนายสุริวงค์ เอื้อปฏิภาน บรรณาธิการ นสพ.ข่าวสด เป็นจำเลยที่ 1-5 ฐานร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328
กรณีเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ – 5 มีนาคม 2556 นายธาริต จำเลยที่ 1 แถลงข่าวกล่าวหาโจทก์ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีว่า ทำเรื่องขอเปลี่ยนแปลงโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนจำนวน 396 โรงพัก จากรายภาครวมเป็นรายเดียว ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ อันเป็นข้อความเท็จ ทำให้โจทก์เสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2558 ให้ยกฟ้องก่อนชั้นพิจารณาคดี ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2559 ให้ศาลชั้นต้นประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณา
ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2561 ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าการแถลงข่าวของจำเลยที่ 1 เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ โครงการก่อสร้างโรงพักเป็นโครงการที่ประชาชนให้ความสนใจ ถือเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ส่วนจำเลยที่ 2-5 เป็นสื่อมวลชนได้มีการนำเสนอข่าวไปตามที่จำเลยที่ 1 แถลง ซึ่งเป็นการติชมโดยสุจริตด้วยความเป็นธรรม จำเลยที่ 2-5 ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนที่จะกลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย
ส่วนที่โจทก์อ้างว่าการแถลงข่าวในช่วงใกล้เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 กับพวกต้องการทำลายฐานคะแนนเสียงพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีการส่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. แข่งขันกับพรรคเพื่อไทยเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ส่วนที่อ้างว่าศาลเคยประทับรับฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีหมิ่นประมาทอีกสำนวน จากเรื่องการก่อสร้างโรงพักเช่นกันนั้น ข้อเท็จจริงในสำนวนคดีย่อมมีความแตกต่างกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่การใส่ความ เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตในฐานะเจ้าพนักงานปฏิบัติตามหน้าที่ ส่วนจำเลยที่ 2-5 นำไปตีพิมพ์ข่าวเสนอข้อเท็จจริงตามที่จำเลยที่ 1 แถลงข่าว เป็นการกระทำโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของวิญญูชนพึงกระทำ จำเลยทั้งห้าจึงไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง
วันนี้จำเลยทั้ง 5 เดินทางมาศาล พร้อมทนายความ ขณะที่ฝ่ายโจทก์ไม่ได้เดินทางมาศาล
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1รับราชการตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จำเลยที่ 2-5 เป็นสื่อมวลชน ในวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 1 แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน มีจำเลยที่ 2 และ 4 อยู่ด้วยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงการก่อที่ทำการสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่ง มีสาระสำคัญว่า เดิมคณะรัฐมนตรีให้แยกประมูลจ้างก่อสร้างเป็นรายภาค แต่โจทก์กลับสั่งการยกเลิกการดำเนินการจัดจ้างเป็นรายภาค แล้วอนุมัติให้เป็นการจัดจ้างรวมศูนย์เพียงสัญญาเดียวที่ส่วนกลาง ต่อมามีการร้องเรียนไปยังคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ว่า การดำเนินจัดจ้างน่าจะไม่ถูกต้อง เป็นการกระทำผิดมติคณะรัฐมนตรี กรมสอบสวนคดีพิเศษพบหลักฐานใหม่ การกระทำของโจทก์นอกจากจะกระทำผิดคณะรัฐมนตรีแล้วยังเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 เนื่องจากเป็นการอนุมัติเปลี่ยนโครงการจากรายภาคเป็นศูนย์สัญญาเดียวทำให้เกิดความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งตั้งคณะทำงานสืบสวน ต่อมาพนักงานสืบสวนสรุปสำนวนว่า ข้อกล่าวหาโจทก์อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ปปช.
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์เพียงข้อเดียวว่า จำเลยทั้ง 5 ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ที่โจทก์นำสืบและอุทธรณ์ทำนองว่าจำเลยที่ 1 แถลงและรีบให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน มีจำเลยที่ 2 และ 4 อยู่ด้วย ว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการประมูลจัดจ้างโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายมาตรา 157 และกฎหมายอื่น โดยจำเลยที่ 2 และ 4 นำข้อความจำเลยที่ 1 แถลงหรือให้สัมภาษณ์ไปลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันและข่าวสดรายวัน โดยมีจำเลยที่ 3 และ 5 เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ด้วยเจตนาให้ร้ายโจทก์ ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังจากบุคคลที่สาม เห็นว่าความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ผู้กระทำผิดจะต้องมีเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคแรก และข้อความที่เป็นหมิ่นประมาทที่ใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามจะต้องเป็นข้อความที่ทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังแล้วผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาจะต้องไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 329 (1)-(4)
เมื่อได้ความจากคำเบิกความของพยานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษมีคำสั่งตั้งหัวหน้าคณะสืบสวนเกี่ยวกับข้อร้องเรียนโจทก์เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่ง ที่กระทำขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี คณะสืบสวนทำการสืบสวนไปตามอำนาจหน้าที่ ส่วนการให้ข่าวหรือสัมภาษณ์เป็นอำนาจของจำเลยที่ 1 โดยจะมีคณะทำงานเป็นผู้ให้ข้อมูลต่างๆ แก่จำเลยที่ 1 โดยจะสรุปประเด็นข้อเท็จจริงที่สำคัญ พร้อมรายละเอียดและเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตามที่ตรวจสอบพบและเป็นดุลพินิจของจำเลยที่ 1 ว่าจะแถลงข่าวหรือให้สัมภาษณ์มากน้อยเพียงใด
จากข้อเท็จจริงที่ได้ความจากพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้ง 5 จะเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจที่จะแถลงข่าวหรือให้สัมภาษณ์ใดๆ เกี่ยวกับคดีความที่อยู่ระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษทำการสืบสวนสอบสวนให้ประชาชนและสื่อมวลชนรับทราบว่าคดีดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนใด ข้อเท็จจริงจากการศึกสวนสอบสวนได้ความว่าอย่างไร มีใครบ้างที่เกี่ยวข้อง
จากข้อความที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องและนำสืบกล่าวอ้าง โดยมีพยานเอกสารต่างๆ จะเห็นได้ว่าข้อความที่โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้ง 5 ร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณานั้น เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าวทั้งหมดแล้ว จะเห็นได้ว่าข่าวที่ปรากฏล้วนแต่เป็นการแสดงให้ความเห็นเป็นไปของข้อกล่าวหาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้มาจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ และเป็นการแสดงความเห็นของจำเลยที่ 1 ประกอบเอกสารที่จำเลยที่ 1 กระทำในฐานะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการสืบสวนถึงการกระทำของโจทก์ว่าเข้าข่ายความผิดใดบ้าง ส่วนรายละเอียดของคดีในสำนวนจะเป็นอย่างไร ก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้ข่าวหรือให้สัมภาษณ์เข้าไปในรายละเอียดของสำนวน อันเป็นดุลพินิจของจำเลยที่ 1 ที่จะพึงพิจารณาว่าจะให้ข้อเท็จจริงได้เพียงใดที่จะไม่กระทบต่อรูปคดีที่จะเกิดความเสียหายคดี
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำที่หวังผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครก็เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีพยานหลักฐานใดมาสืบยืนยันให้เห็นเจตนาที่แท้ของจำเลยที่ 1 ที่แถลงข่าวหรือให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างที่ทำการสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่ง ด้วยหวังผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อีกทั้งโจทก์ไม่ได้ดำเนินการใดเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ดำเนินการกับจำเลยที่ 1 ไม่ว่าจะเป็นทางวินัยหรือทางอาญาฐานเป็นข้าราชการที่ไม่วางตัวเป็นกลางทางการเมือง จึงเป็นความเข้าใจโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 มีเจตนาหวังผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครก็เป็นไปได้
ดังนั้นการแถลงข่าวหรือให้สัมภาษณ์ของจำเลยที่ 1 เชื่อว่าเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ที่ตนมี หาได้มีเจตนาที่จะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังจะเห็นได้จากคำแถลงของจำเลยที่ 1 ที่ไม่มีข้อความตอนใดที่บ่งชี้ว่าโจทก์ต้องถูกลงโทษในความผิดที่ถูกร้องเรียน และการเสนอข่าวของจำเลยที่ 2-5 ก็เป็นการสรุปข่าวตามข้อเท็จจริงตามที่จำเลยที่ 1 แถลงหรือให้สัมภาษณ์เป็นการย่อข่าวให้สั้นกระชับเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย อันเป็นการเสนอข่าวให้ประชาชนเจ้าของเงินภาษีได้รับทราบความคืบหน้าของข้อร้องเรียนว่ามีการดำเนินการไปถึงขั้นตอนใด ไม่มีข้อความใดที่บ่งชี้ว่าเป็นการเสนอข่าวโดยชี้นำให้เห็นว่าได้กระทำผิดตามข้อร้องเรียนแล้ว
การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการไปตามอำนาจหน้าที่ และการเสนอข่าวของจำเลยที่ 2-5 เป็นการกระทำในฐานะสื่อมวลชนที่มีหน้าที่เสนอข่าวสารให้ประชาชนได้รับทราบถึงผลการดำเนินคดีโจทก์ตามที่ถูกร้องเรียนว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการสืบสวนสอบสวนไปถึงขั้นตอนใดแล้ว มีความเห็นอย่างไร หาได้มีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายการกระทำของจำเลยทั้ง 5 เป็นการกระทำไปโดยสุจริตในกรอบของกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ตามมาตรา 329 (2)(3) จึงไม่มีความผิดตามฟ้องตามมาตรา 329 วรรคท้าย
เมื่อการกระทำของจำเลยทั้ง 5 ไม่มีความผิดตามที่ได้วินิจฉัยแล้ว เหตุผลอื่นๆ ที่โจทก์กล่าวมาในอุทธรณ์จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เพราะไม่ว่าจะวินิจฉัยไปทางหนึ่งทางใดก็ไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนยกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกา ไม่ว่าทั้งปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |