19 ก.พ.63-นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับประธานคณะกรรมาธิการความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ว่า ที่ประชุมได้มีการรายงานแนวทางการขับเคลื่อนการศึกษาด้านอาชีวศึกษาของไทยทำงานควบคู่กับบริษัทและรัฐบาลของเยอรมนี โดยตนได้ชี้แจงให้ที่ประชุมรับทราบ ว่า ไทยต้องการที่จะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทของเยอรมนีและวิทยาลัยอาชีวศึกษาของไทย ในการร่วมกับจัดการศึกษารูปแบบทวิภาคี ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่อนาคตหลักสูตรของอาชีวศึกษาจะต้องมีความยืดหยุ่น สามารถปรับให้ตรงกับความต้องการของตลาด ซึ่งเรามั่นใจว่าบริษัทของเยอรมนีจะมีแนวทางการฝึกการปฏิบัติงาน และหลักสูตรต่างๆ ที่ชัดเจน ดังนั้นหากเราสามารถปรับวิทยาลัยอาชีวศึกษาได้ให้ร่วมมือกับบริษัทของเยอรมนีได้ จะเป็นการสร้างกำลังคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดจริงๆ ซึ่งทางเยอรมนีก็พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่

นายณัฏฐพล กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นเรื่องการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาตามมาตรฐานของเยอรมนี จะมีค่าใช้จ่ายสูงนั้น สำหรับตนมองว่าเราไม่ได้มีปัญหาในส่วนนี้ เพราะหากมีการวางแผนบริหารจัดการที่ดีจะไม่มีปัญหาในเรื่องของงบประมาณ อีกทั้งเรื่องนี้ตนมองว่าเป็นเรื่องของความคุ้มค่าในการลงทุนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษา และทักษะการทำงานพื้นฐานของประเทศเยอรมนี ดังนั้น ในอนาคตเราต้องมั่นใจว่าเด็กที่มีการแลกเปลี่ยนไปเรียนรู้ที่เยอรมนีจะต้องมีความคุ้มค่า 100% ซึ่งจะต้องมีการวางแผน สร้างความเข้าใจในเข้ากับบริบทของบริษัทเยอรมนีด้วย โดยเรื่องนี้ถือเป็นภารกิจหนึ่งของศูนย์การเรียนรู้ หรือ Excellent Center ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่จะต้องขับเคลื่อนในเรื่องนี้

“อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ใกล้ช่วงการเปิดรับนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษาแล้ว โดยเท่าที่ผมตรวจสอบข้อมูลในเบื้องต้น พบว่า มีจำนวนสนใจมาสมัครเรียนสายอาชีพเพิ่มมากขึ้น แต่ผมมองว่าการประชาสัมพันธ์เพื่อดึงดูดในเด็กเข้ามาศึกษาต่อยังไม่ดีพอ ภาพยังเห็นไม่ชัดว่า ศธ.พร้อมจะยกระดับอาชีวศึกษาขนาดไหน ซึ่งส่วนนี้จะมีการผลักดันให้เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ เพราะตอนนี้ถือว่าแนวทางและแผนงานการขับเคลื่อนมีความชัดเจนแล้ว แต่เราจะต้องทำให้ผู้ปกครองและเด็ก เห็นภาพว่า อาชีวศึกษาจบ 3 ปี มีคุณภาพ ได้งานทำ”รมว.ศธ.กล่าว