ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ คราวนี้แรงกว่า SARS


เพิ่มเพื่อน    

 

        ไทยเราต้องเริ่มประเมินความสูญเสียที่เกิดจากโรคระบาด Covid-19 อย่างจริงจังเพื่อเตรียมการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วนเมื่อจังหวะที่โรคนี้เริ่มนิ่ง

                เพราะหากยังไม่เตรียมพร้อมตั้งแต่ตอนนี้ เราอาจไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นวิ่งหลังจากทุกอย่างกลับสู่สภาวะเดิม

                คำพยากรณ์ระดับโลกล้วนแล้วแต่ชี้ไปในทางที่ร้ายแรงกว่าที่คิด แม้แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ก็เริ่มกังวลว่า หากไวรัสตัวนี้แพร่ไปถึงประเทศที่อ่อนแอ ไม่มีภูมิต้านทานเพียงพอเช่นไปถึงประเทศในแอฟริกา ก็อาจจะทำเกิดภาวะการกระจายระดับโลกที่เรียกว่า Pandemic ซึ่งจะส่งผลรุนแรงกว่าที่เห็นอยู่นี้อีกหลายเท่า

                นักวิจัยบางคนเริ่มกังวลว่าหากแนวโน้มการฟื้นตัวไม่กระเตื้องขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ว่าประชากรสองในสามของโลกอาจจะติดเชื้อร้ายนี้ก็ได้

                ดังนั้นแม้ว่าอัตราคนเสียชีวิตต่อผู้ติดเชื้อถึงวันนี้อาจจะอยู่ที่ระดับ 2% เศษๆ (เปรียบเทียบกับ 9%  เศษๆ ของ SARS เมื่อ 17 ปีก่อน) แต่หากจำนวนคนป่วยกระจายกว้างไกลเช่นนั้น จำนวนผู้เสียชีวิตก็อาจจะน่ากลัวกว่าที่เห็นและเป็นไปอย่างทุกวันนี้หลายเท่านัก

                สิงคโปร์เริ่มจะมองเห็นภาพทางลบชัดเจนขึ้นแล้ว เมื่อนายกรัฐมนตรีหลี่ เสี่ยนหลงพูดระหว่างไปเยี่ยมให้ขวัญและกำลังใจคนทำงานที่สนามบินชางงี ซึ่งถือเป็นด่านหน้าของการสกัดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคนี้ต่อเศรษฐกิจของสิงคโปร์ "สูงกว่าโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง (SARS)"

                โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากประเมินจากสองสามไตรมาสข้างหน้าซึ่งจะมีความสำคัญยิ่ง

                เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่มีความเปราะบางต่อภาพรวมของเศรษฐกิจสิงคโปร์

                ถือเป็นสงครามครั้งใหญ่สำหรับเกาะแห่งนี้ทีเดียว

                หลี่ เสี่ยนหลงบอกว่า

                "ถึงวันนี้ก็เห็นผลกระทบที่ร้ายแรงมากกว่าโรคซาร์สแล้ว อีกทั้งเศรษฐกิจในภูมิภาคก็เชื่อมโยงระหว่างกันมากกว่าเดิม โดยเฉพาะจีน เป็นปัจจัยสำคัญต่อภูมิภาคมากกว่าตอนที่ซาร์สระบาด ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเราจะเข้าภาวะถดถอยหรือไม่ แต่มันเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจของเราจะถูกกระทบค่อนข้างแรง"  

                เมื่อคราวที่โรคซาร์สระบาดช่วงเดือนมีนาคม 2003 สิงคโปร์ใช้เวลา 5 เดือนหรือถึงเดือนกรกฎาคมในปีเดียวกันทำให้สถานการณ์สงบลงได้

                นายกฯ สิงคโปร์บอกว่า การสามารถควบคุมโรคระบาดนี้ได้ครั้งนั้นถือว่าเร็วมาก 

                แต่ครั้งนี้ดูจากสัญญาณทั้งหลายแล้ว เขาคิดว่าจะไม่เร็วอย่างนั้น

 

                                                                (ใส่ภาพ)********

 

                สถิติสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า เปอร์เซ็นต์คนเสียชีวิตต่อผู้ติดเชื้อของ Covid-19 อยู่ที่ 2.27%  เปรียบเทียบกับ SARS ที่ 9.56% ขณะที่ MERS สูงสุดที่ 34.45% แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจกลับตรงกันข้าม

 

                สิงคโปร์กำลังต่อสู้กับโรคระบาดรอบใหม่นี้อย่างหนักด้วยมาตรการเข้มข้นทุกวิถีทาง ถึงขั้นห้ามคนที่เคยไปจีนใน 14 วันที่ผ่านมาเข้าประเทศ

                เมื่อมีผู้คนตระหนกถึงขั้นตุนอาหารด้วยการกว้านซื้ออาหารและของใช้ประจำวันจากร้านค้าต่างๆ  นายกฯ หลี่ต้องออกทีวีใช้ทั้งภาษาจีน, อังกฤษ และมาเลย์เพื่อปลอบใจประชาชน

                ยอดผู้ติดเชื้อที่นั่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ 58 คน ผ่านการแพร่เชื้อกระจุกตัว 5  กลุ่ม

                ที่เห็นชัดคืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นภาคหนึ่งที่กระทบหนักที่สุด

                รัฐบาลสิงคโปร์เตรียมรับสภาพว่านักท่องเที่ยวอาจจะร่วงหล่นถึง 25-30% ในปีนี้

                ของไทยเรายังไม่มีการประเมินตัวเลขที่นักท่องเที่ยวจะหดหายไปเท่าไหร่ แต่หลายสำนักวิเคราะห์ว่าหากการระบาดยังยืดเยื้อไปถึงกลางปี จำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยอาจจะหล่นหายไปกว่าครึ่ง

                นั่นย่อมแปลว่าเศรษฐกิจของทั้งภูมิภาคจะร่วงลงไปเหมือนๆ กัน ไม่มีใครเป็นแรงหนุนช่วยได้ มีแต่จะต้องวางแผนร่วมกันในการช่วยกันประคองให้ทั้งอาเซียนสามารถฝ่าวิกฤตินี้ไปได้ด้วยความบาดเจ็บน้อยที่สุด

                แต่อาเซียนจะฟื้นได้ จีนก็ต้องลุกขึ้นก่อน

                ไม่มียุคไหนที่เศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้จะเชื่อมโยงกับจีนมากเพียงนี้

                จะชอบหรือไม่ชอบ ชะตากรรมของอาเซียนกับจีนก็ต้องผูกพันกันอย่างชนิดที่หนีกันไม่พ้น

                ทางออกคือการพยายามช่วยกันหาหนทางพ้นจากวิกฤตินี้ไปด้วยกัน

                ซึ่งหมายถึงการระดมสมอง, วางแผน และปรับยุทธศาสตร์ที่เป็นทั้งระดับชาติและระดับภูมิภาคร่วมกัน

                งานนี้ไม่มีพระเอก ไม่มีผู้ร้าย มีแต่ตัวละครที่ต้องเข้าฉากให้เดินเรื่องไปได้อย่างราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้

                คำว่า "เรียบร้อยที่สุด" เห็นจะไม่มี

                แค่ "พอกล้อมแกล้มรอดตาย" ได้ก็ถือว่าสอบผ่านแล้ว.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"