“I am not a virus.” “ผมไม่ใช่ไวรัส (อู่ฮั่น)”
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์สื่อสารกับชาวเยอรมันว่า พวกยิวคือ “พวกกระหายเงิน” และเป็นต้นเหตุของการล้มสลายของเศรฐกิจเยอรมัน ผลที่ตามมาก็อย่างที่เราๆ ได้เรียนกันในวิชาประวัติศาสตร์โลก นั่นคือ การที่เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งเพื่อนนักเรียน รังเกลียดและแจ้งเจ้าหน้าที่ของนาซีให้มาจับคนยิวที่ตนรู้จักไปกักขัง และสุดท้ายชาวยิวกว่า 1.3 ล้านคนตายในการฆ่าล้างเผาพันธุ์ครั้งนั้น
ณ วันนี้ในการระบาดของโคโรนาไวรัสหรือไวรัสอู่ฮั่น เรากำลังเริ่มเห็นส่วนเล็กๆ ของประวัติศาสตร์เริ่มจะซ้ำรอยเดิม ความหวาดกลัวที่จะติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่นทำให้ชาวจีนจำนวนหนึ่งในมณฑลต่างๆ ตั้งป้อมรังเกียจคนที่อยู่หรือคนอู่ฮั่นออกไปนอกประเทศ มีคนชาติต่างๆ แสดงความกลัวชาวจีนหรือคนเอเชียที่ดูเหมือนคนจีน มีร้านอาหารติดป้ายไม่รับนักท่องเที่ยวจีน มีนโยบายจากหลายประเทศ (ในทางออม) ห้ามไม่ให้คนจีนเข้าประเทศ มีประชาชนในบ้างประเทศประท้วงรัฐบาลให้ย้ายเขตกักกันโรคจากพื้นที่ที่ตัวเองอยู่ มีแม้กระทั่งข่าว (เท็จ) ว่าไม่ควรซื้อสินค้าจากจีนเพราะสามารถติดเชื้อจากของที่ส่งมาจากจีนได้
ดูเหมือนสิ่งที่หน้ากลัวจากไวรัสอู่ฮั่นไม่ใช่แค่การติดเชื้อและทำให้ร่างกายเจ็บป่วยไปเท่านั้น แต่อาการข้างเคียงของความกลัวไวรัสอู่ฮั่นกำลังทำให้คนบนโลกนี้กำลังเป็น “โรคเหยียดคน” เหยียดคนที่มาจากอู่ฮั่น เหยียดคนจีน เหยียดคนที่ดูเหมือนคนจีน เหยียดคนที่เดินทางมาจากจีน (ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด) และเหยียดคนชาติเดียวกันที่ถูกกักกันโรค ทั้งที่ยังไม่มีการแสดงออกของอาการป่วยใดๆ อะไรกำลังเกิดขึ้น ถ้าฮิตเลอร์ยังอยู่และต้องการจะลดประชากรโลก เพื่อเริ่มต้นใหม่เหมือนธานอสในอินฟินตี้วอร์ ตอนนี้คงเป็นเวลาที่ดีไม่น้อย ฮิตเลอร์ไม่ต้องใช้เงินเป็นหมื่นหรือแสนล้านในการสื่อสารให้คนเหยียดและเกลียดกัน เพราะ ณ เวลานี้โซเชียลมีเดียอยู่ในมือของทุกคนบนโลกนี้ ฮิตเลอร์แค่ต้องหาทีมปั่นกระแสความกลัวและเอาไปเชื่อมโยงกับคนที่มีความเป็นไปได้ที่จะติดโรคและโยนลงไปในโซเชียลมีเดีย สถานการณ์เช่นนี้อาจจะฟังดูแอนิเมชั่น แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนนี้ความกลัวเชื้อไวรัสอู่ฮั่นในจิตใจกำลังแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็ว และอาจจะเร็วกว่าการแพร่เชื้อของไวรัสอู่ฮั่นเสียอีก เราควรจะทำอย่างไร มี 3 ข้อให้พิจารณาข้อแรกคือ ปล่อยไป ไม่มีใครแบนประเทศเรา เราไม่ต้องเดือดร้อน เราไม่มีแผนจะต้องเดินทางไปจีนหรือออกนอกประเทศเลย “โนสนโนแคร์”
ข้อสองคือ ตามน้ำ ต้องเช็กดูให้ดีว่าที่ไหนมีคนจีนมาก เราก็ไม่ไปที่นั่น ข้อมูลโซเชียลต้องคอยอ่านจะได้ไม่ตกข่าว และต้องไม่พลาดการส่งต่อให้เพื่อนฝูงและคนรู้จักในโซเชียลให้รู้ทั่วกันด้วย “รายงานก่อน ฉับไว้ ต้องมาจากฉัน”
ข้อสามคือ รู้ลึก อัพเดตสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นเกี่ยวกับโรคและตัวเชื้อโรค การติดต่อและแพร่ระบาด สุดท้ายการดูแลตัวเองและคนรอบข้าง และให้ความสำคัญกับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นให้มาก “อยู่กับตัวเองและดูแลคนรอบข้าง”
3 ข้อนี้เป็นแค่แนวทางในการคิดเพราะในความเป็นจริงพวกเรา มนุษย์เราๆ ท่านๆ คงไม่มีใครที่ 100% เป็นในข้อใดข้อหนึ่งทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่สิ่งที่เราๆ ทำได้คือก่อนที่เราจะทำอะไร หรือในระหว่างที่ความคิดเรากำลังครุ่นคิดถึงอะไร ให้สังเกตตัวเองและถามตัวเองว่าความคิดและการกระทำนั้นจะส่งผลอย่างไรบ้าง ความคิดและการกระทำนั้นจะนำไปสู่การ "เหยียด” ผู้อื่น และทำให้ความคิดและ “โรคเหยียด” ผู้อื่นระบาดในวงกว้างขึ้น หรือลึกลงไปในความรู้สึกของผู้ที่ได้ประสบกับเหตุการณ์นั้นๆ หรือไม่ เพราะเมื่อเราสามารถทำอย่างนั้นได้ เราจะเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่นเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ช่วยลดอาการข้างเคียงที่อาจจะส่งผลทำให้สถานการณ์แย่ลงดำเนินไปอย่างช้า หรือถ้ามีหลายคนสามารถทำได้ในส่วนของตัวเอง อาการข้างเคียง เช่น “โรคเหยียด” อาจจะไม่เกิดขึ้นในวงกว้าง.
เขียนโดย Mayochili อีเมล [email protected]
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |