ปักธูป36ดอกไล่คสช. อยากเลือกตั้งชิมลางหน้ากองทัพบก‘รังสิมันต์’ฝ่าคำสั่งศาล


เพิ่มเพื่อน    


  อยากเลือกตั้งเดินขบวน จี้ "บิ๊กตู่" ลาออก เลือกตั้ง พ.ย. มามุกใหม่ พึ่งไสยศาสตร์ไล่ คสช. ปักธูป 36 ดอกหน้ากองทัพบก "รังสิมันต์" ท้าทายคำสั่งศาล  เดินนำม็อบถอนราก คสช. กกต.เผย 58 พรรคตอบรับร่วมประชุมชี้แจงแนวทางดำเนินกิจกรรมพรรค ขณะที่เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์จับมือถล่ม "ประยุทธ์" ใช้ ม.44 แทรกแซงองค์กรอิสระ "มาร์ค" เตือนอาจกระทบความน่าเชื่อถือในการจัดการเลือกตั้งของ กกต.
    เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา  รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)   กล่าวว่า ในวันที่ 28 มีนาคม สำนักงาน กกต.ได้เตรียมการเกี่ยวกับการจัดประชุมพรรคการเมืองไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ขณะนี้มีพรรคการเมืองที่จะเข้าแล้ว 58 พรรค ประมาณ 264 คน ทั้งนี้ การจัดประชุมดังกล่าวจะให้เฉพาะพรรคการเมืองเก่าที่เคยจดทะเบียนกับ กกต.ไว้ เพราะ กกต.ได้จัดประชุมเฉพาะกลุ่มการเมืองใหม่ไปแล้วในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งจะต้องดูว่าก่อนจะถึงวันที่ 28 มีนาคมนี้ จะมีพรรคการเมืองเข้าร่วมประชุมดังกล่าวครบทั้ง 69 พรรคหรือไม่
         สำหรับพรรคที่ตอบรับเข้าร่วมการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินกิจการพรรคการเมือง ครั้งที่ 2/2561 เรื่อง แนวทางการดำเนินกิจการแก่พรรคการเมืองที่จัดตั้งหรือเป็นพรรคการเมืองตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ขณะนี้มี 58 พรรค 294 คน อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค, นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรค, น.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ นายทะเบียนพรรค พรรคเพื่อไทย นำโดย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค, นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค และนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย 
    พรรคชาติพัฒนา นำโดย นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรค และนายประเสิรฐ บุญชัยสุข เลขาธิการพรรค พรรคชาติไทยพัฒนา นำโดยนายธีระ วงศ์สมุทร หัวหน้าพรรค, นายพิสิษฐ์ พิทยฐากุลเจริญ นายทะเบียนพรรค และนายวราวุธ ศิลปอาชา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พรรคภูมิใจไทย นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค, นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรค, พรรคพลังชล นายพันธุ์ศักดิ์ เกตุวัตถา เลขาธิการพรรค เป็นต้น
    นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีคำถามที่พรรคการเมืองสอบถามมาว่า ในคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ซึ่งระบุว่า ถ้ามีปัญหาในข้อปฏิบัติเรื่องใด ให้ทาง กกต.และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หารือกัน ดังนั้นเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา จึงเป็นการประชุมกันระหว่างผู้แทน คสช.และ กกต. ส่วนตนก็นั่งฟังเท่านั้น ในส่วนเนื้อหาการหารือนั้น ตอบไม่ได้ ให้ กกต.เป็นผู้ตอบเอง
    ผู้สื่อข่าวถามว่า ในคำสั่ง คสช. ระบุละเอียดแล้ว ทำไมจึงต้องมีการหารือกันอีก รองนายกฯ ตอบว่า คำถามจากพรรคการเมืองมีมากมายถึง 20 คำถาม ซึ่ง กกต.สามารถตอบเองได้ แต่มีอยู่ 6-7 ข้อที่ กกต.ตอบเองไม่ได้ และไม่แน่ใจว่าตอบแล้วจะตรงจุดประสงค์หรือไม่  จึงได้เชิญตัวแทนจากกฤษฎีกา กกต.และ คสช.มาหารือพูดคุยกัน โดย กกต.เขาก็บอกสิ่งที่เข้าใจ ซึ่งตนเข้าใจว่าร้อยละ 90 เขาเข้าใจถูก รวมถึงยังมีการพูดคุยกันว่าช่วงเวลาที่ผ่านมามีพรรคใหม่ยื่นหนังสือขอจัดประชุมพรรค โดยตัวแทนของ คสช. เล่าในที่ประชุมว่า ได้มีการอนุญาตแค่บางกรณีเท่านั้น จึงมีคำถามว่าอะไรคือหลักเกณฑ์ แต่พอได้พูดคุยกันแล้วเรื่องก็จบ
ม.44 แทรกแซงองค์กรอิสระ
    นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า
ประเด็นการหารือที่พรรคจะนำเสนอนั้น ส่วนตัวคาดว่าจะเป็นเรื่องการปฏิบัติตามประกาศ คสช.ที่ 53/2560 ในรายละเอียดที่จะต้องให้สมาชิกที่ระบุในใบยืนยันการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองจะต้องระบุแค่ไหน เพียงใด เช่น เรื่องลักษณะต้องห้าม จะต้องให้สมาชิกเป็นคนยืนยันใช่หรือไม่ นอกจากนั้นอาจจะเป็นการแสดงความคิดเห็นบอกผ่าน กกต.ว่าถึงเวลาที่จะปลดล็อกพรรคการเมืองแล้ว ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดที่สุด
         เมื่อถามถึงการปรับตัวของพรรคเพื่อไทย เพื่อให้สอดรับกับพรรคการเมืองใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น นายนพดล กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่มีคนแจ้งจดชื่อพรรคการเมืองถึงกว่า 70 พรรค และมีคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมทำงานทางการเมือง ข้อดีคือทำให้พรรคที่จดทะเบียนแล้วก็ต้องปรับตัว เมื่อสามารถประชุมได้ก็จะร่วมกันแข่งขันในเชิงการผลิตนโยบายที่ตอบสนองต่อคนรุ่นใหม่ ถือเป็นการแข่งขันที่เป็นธรรม เพราะแต่ละพรรคสามารถนำเสนอนโยบายของตัวเองและแต่ละพรรคก็มีบุคลากรคนรุ่นใหม่ในพรรค พรรคเพื่อไทยถือว่าการเมืองเป็นเรื่องของอนาคตทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่า เราต้องมีนโยบายที่จะต้องตอบโจทย์ประเทศ และตอบโจทย์คนทุกรุ่น แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถประชุมและเสนอนโยบายได้ เมื่อทำได้ตามกฎหมายทางพรรค ก็จะเตรียมตัวและปรับตัวให้เข้ากับการแข่งขันของพรรคการเมืองต่างๆ
    เขายังกล่าวถึงกรณี คสช.มีคำสั่งมาตรา 44 ปลดนายสมชัย ศรีสุทธิยากร จาก กกต.ว่า ส่วนตัวมองว่าเหตุผลที่ใช้ยังไม่ค่อยมีน้ำหนักจนถึงขั้นต้องปลด หากนายสมชัยประพฤติตนบกพร่องก็มีกระบวนการที่จะถอดถอนหรือดำเนินการทางกฎหมายได้ การใช้มาตรา 44 ไปปลดคนในองค์กรอิสระในกรณีนี้ยังไม่มีเหตุผลพอเพียง และที่สำคัญ มีคนตั้งคำถามว่าเป็นการเข้าไปทำให้องค์กรอิสระทำงานไม่อิสระหรือไม่ เพราะเป็นการใช้อำนาจทางฝ่ายบริหาร ทั้งที่องค์กรอิสระเกิดขึ้นมาเพื่อทำงานให้เป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร เป็นการตรวจสอบการใช้อำนาจของแต่ละฝ่าย ถ้ามองในแง่ของ กกต.อาจมีคนตั้งคำถามว่าการเลือกตั้งในอนาคต กกต.จะสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างอิสระ ปลอดจากฝ่ายบริหารได้หรือไม่ ทุกฝ่ายเห็นว่า กกต.ควรมีอำนาจอย่างเต็มที่ที่จะทำให้การเลือกตั้งสุจริตและเที่ยงธรรม ดังนั้น คสช.ควรใช้ความระมัดระวังการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ซึ่งต้องเป็นกรณีที่ต้องอธิบายได้
    ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต ทั้งนี้ การใช้มาตรา 44 กับองค์กรอิสระ เท่ากับเป็นการแทรกแซงองค์กรอิสระโดยตรง จนทำให้องค์กรต่างๆ ขาดความเป็นอิสระในการทำงาน ดังนั้น นายกรัฐมนตรี จึงควรวางตัวเป็นกลางเพื่อให้ทุกฝ่ายเดินหน้าไปได้ และไม่ควรใช้มาตรา 44 ในเรื่องที่ไม่เหมาะสม
"มาร์ค"เตือนเลือกตั้งจะมีปัญหา
     นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า การใช้มาตรา 44 อยากให้ระมัดระวัง เพราะเป็นการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร ถึงขั้นที่ปลดองค์กรอิสระได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นอย่างนี้ ต่อไปในการเลือกตั้งจะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นได้ ส่วนการให้ความเห็นนั้น ตนก็แปลกใจ และคิดว่าคำสัมภาษณ์ของนายสมชัยไม่น่าจะกระทบความมั่นคง
         เมื่อถามว่า หวั่นว่าคำสั่งดังกล่าวจะทำให้ กกต.ที่เหลือทำงานได้ยากขึ้นเพราะไม่กล้าหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตอบว่า ตอนนี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่พอถึงการเลือกตั้งจะเป็นปัญหาหรือไม่ เพราะกลายเป็นว่าจะเกิดการตั้งคำถามว่า กกต.มีความเป็นอิสระจริงหรือไม่ และจากนี้ก็ต้องทบทวนดูว่าจะทำอย่างไรเพื่อทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่าองค์กรอิสระสามารถทำงานอย่างอิสระได้อย่างแท้จริง
    ขณะที่ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิปสนช.) กล่าวว่า กรณีนี้นายกฯ ในฐานะหัวหน้า คสช. ทำได้ตามกฎหมาย เพราะมาตรา 265 ในรัฐธรรมนูญปัจจุบันบอกไว้ว่า ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ให้ คสช.ยังมีอำนาจและหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 และให้ถือว่าบทบัญญัติดังกล่าวยังมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งทางรัฐบาลมีทีมนักกฎหมาย รวมถึงกฤษฎีกาดูเรื่องนี้อยู่ 
    "คาดการณ์ว่าคงจะชั่งน้ำหนักทั้งข้อดี-ข้อเสียแล้ว ก่อนจะตัดสินใจใช้อำนาจ คงจะไม่ใช้พร่ำเพรื่อ คงใช้เท่าที่จำเป็น ขณะที่ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.ก็ให้มีการเซตซีโร กกต.เดิมไปแล้ว แต่ยังให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีชุดใหม่ และไม่ใช่การรักษาการในตำแหน่งด้วย คราวนี้ฝ่ายบริหารเพียงแต่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น เป็นเครื่องมือฝ่ายบริหารในการทำงานหรือแก้ปัญหา คงไม่ได้กระทบ และไม่ถือว่าเป็นแทรกแซงองค์กรอิสระ เนื่องจากใช้คำสั่งกับนายสมชัยเพียงคนเดียว ยังเหลือ กกต.อีก 4 คน ครบเป็นองค์คณะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้โดยไม่สะดุด จนกระทั่งรอ กกต.ชุดใหม่เข้ามาแทนที่" นพ.เจตน์ระบุ
     ที่โรงแรมริเวอร์ไซด์ สมาชิกพรรคทางเลือกใหม่ทยอยเดินทางมาร่วมประชุม หลังจากที่ คสช.อนุญาตให้จัดประชุมได้เป็นกลุ่มการเมืองแรก เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมือง จากนั้นได้มีการประชุมสามัญพรรคทางเลือกใหม่ครั้งที่ 1/2561 ที่ประชุมมีมติให้นายราเชน ตระกูลเวียง เป็นหัวหน้าพรรค, นายไพโรจน์ กระทุ่มทองเลิศ เป็นเลขาธิการพรรค และรับรองการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคในตำแหน่งอื่นๆ ด้วย 
    นายราเชนให้สัมภาษณ์ว่า ขอบคุณ คสช.ที่อนุญาตให้จัดประชุมอย่างเป็นทางการ เชื่อว่า คสช.จะรักษาสัญญาในการจัดการเลือกตั้ง โดยพรรคได้ชูนโยบายเงินทุนเจ้าบ้าน ยืนยันว่าไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นไทยนิยม ซึ่งจากการลงพื้นที่นโยบายนี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในภาคอีสาน ทำให้เชื่อว่าจะสามารถชนะการเลือกตั้งและได้ที่นั่งในสภา 50 ที่นั่ง ขณะนี้มั่นใจว่าจะได้ ส.ส.เขตอย่างแน่นอนแล้ว 10 ที่นั่ง
หนุนนายกฯ คนนอก
    "เราเป็นมิตรกับทุกพรรคที่มีอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา กษัตริย์ เน้นความสามัคคี จะแข่งขันเชิงนโยบาย ไม่ใช้กระแส ไม่ใช้กระสุน ไม่ใช้วิธีสกปรกเพื่อเป็นทางเลือกใหม่อย่างแท้จริงให้ประชาชน ซึ่งมีอดีตส.ส.ติดต่อขอเข้าร่วมพรรคเราก็ไม่รับ เพราะเราอยากเป็นทางเลือกใหม่ และพร้อมเป็นรัฐบาล ไม่พร้อมเป็นฝ่ายค้าน"
      ส่วนการเสนอชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกฯ 3 รายชื่อนั้น ถ้าได้จดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองแล้วจะทาบทามอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ และเห็นว่าอันดับ 1 ควรเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งนี้ พร้อมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ คนนอก แต่ 1 ปี จากนี้ไป พล.อ.ประยุทธ์ ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นชายชาติทหารที่รักชาติอย่างแท้จริง
         ที่สนามฟุตบอล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เย็นวันเดียวกัน กลุ่มคนอยากเลือกตั้งจัดกิจกรรมรวมพลังกันอีกครั้ง “เดินหน้าถอนราก คสช.” โดยมีเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบคอยดูแลความเรียบร้อยเป็นจำนวนมาก
    นายรังสิมันต์ โรม ซึ่งอยู่ระหว่างได้รับการประกันตัว และศาลสั่งห้ามยุยงปลุกปั่น ให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่กลุ่มต้องการสื่อสารกับสังคมถึงสาเหตุของกิจกรรมในวันนี้และในอนาคตคือ ข้อเสนอที่กลุ่มยื่นให้ คสช.ไม่ได้รับการตอบสนอง นั่นคือ 1.กำหนดให้มีการเลือกตั้งภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่สิ่งที่ คสช.ตอบสนองคือการจัดการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า และ 2.ข้อเรียกร้องให้ยุบ คสช. เปลี่ยนให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรัฐบาลรักษาการเท่านั้น
    เขาอ้างว่าการเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ เมื่อบรรยากาศการเมืองไทยปลอดทหาร ดังนั้น ข้อเรียกร้องในวันนี้คือ ขอเรียกร้องให้กองทัพบกและกองทัพส่วนต่างๆ หยุดสนับสนุน คสช. และเลือกเคียงข้างประชาชน
    ด้านนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว กล่าวว่า ประชาชนไม่สามารถอดทนกับการที่ คสช.อยู่ในอำนาจนานเกินกว่านี้ วันนี้จึงมาเรียกร้องติดตามทวงถามการเลือกตั้ง พร้อมเดินทางไปกองทัพบกเพื่อเรียกร้องให้ยุติการสนับสนุน คสช. และกลับมาทำหน้าที่ของตน นั่นคือการปกป้องประชาชนและประเทศชาติ 
    จ่านิวบอกว่า หากกองทัพบกยังไม่ยุติการสนับสนุน เราอาจเดินหน้าไปตามสถานที่ราชการสำคัญต่างๆ เพื่อเรียกร้องให้ยุติการสนับสนุน คสช. หาก คสช.ยังนิ่งเฉย เราจะเดินหน้าชุมนุมครั้งใหญ่ในเดือนพฤษภาคม อันเป็นเดือนที่ครบรอบ 4 ปี คสช. คสช.จะได้เห็นพลังประชาชนที่ต้องการอยากเลือกตั้ง
ปักธูป 36 ดอกไล่ คสช.
    ต่อมาเวลา 17.30 น. ผู้ร่วมกิจกรรมเดินหน้าถอนราก คสช. ร่วมเดินเท้าออกจากสนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีนายรังสิมันต์เป็นแกนนำเดินผู้ร่วมกิจกรรมไปยังกองทัพบก
        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประตูหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงกำลัง เพื่อขอให้ผู้ร่วมกิจกรรมเดินเท้าด้วยความสงบ และจำกัดทางเดินเฉพาะบนทางเท้าเท่านั้น  
    โดย พ.ต.อ.จักรกริศน์ โฉสูงเนิน ผกก.สน.ชนะสงคราม ได้เข้าเจรจากับแกนนำผู้ชุมนุมเพื่อแจ้งกติกาและขอให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตามกฎหมาย โดยใช้เวลาเจรจาประมาณ 5 นาที เจ้าหน้าที่จึงให้ผู้ทำกิจกรรมเดินเท้าต่อไป โดยไม่มีเหตุความวุ่นวายใดๆ
    หลังเดินเท้ากว่า 1 ชั่วโมง กลุ่มคนอยากเลือกตั้งถึงบริเวณแยก จปร. พบว่ามีเจ้าหน้าที่ได้วางกำลังปิดทางเข้าเป็นแถวหน้ากระดาน เพื่อไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเดินผ่านเข้ามาที่ถนนราชดำเนินนอก พร้อมกั้นรั้วเหล็ก แต่ก็ไม่เป็นผล กลุ่มผู้ชุมนุมได้ฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาบริเวณด้านหน้ากองทัพบก พร้อมประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียงให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่ง 
    ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระจายกำลังดูแลความเรียบร้อยรอบกองทัพบก ส่วนผู้ชุมนุมได้ยืนอยู่บนทางเท้า ปราศรัยเป็นระยะตามข้อเรียกร้อง เร่งรัดให้มีการเลือกตั้งภายในเดือน พ.ย.2561 โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปิดการจราจร
    ช่วงเวลา 20.00 น. นายรังสิมันต์ขึ้นปราศรัย โดยพูดกับตำรวจที่มารักษาความปลอดภัยว่า รู้ดีต้องไปขับรถ ไปทำงานสกปรกให้นาย แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนมานิดเดียว ขอให้ได้ระบายความเจ็บซ้ำ ไปบอกนายท่านว่าเมื่อลมประชาธิปไตยพัดมา องค์กรของท่านต้องถูกปฏิรูป ประชาชนจะไม่เก็บหัวหน้าเลวๆ ของพวกท่านทั้งหลายไว้
    "หลายประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงจากภาคประชาชน ใครที่ย่ำยีประชาชน ไม่เคยมีใครได้อยู่อย่างสงบสุข บั้นปลายมีแต่คุกๆๆๆๆ" (เสียงปรบมือ)
    นายรังสิมันต์ยังปราศรัยว่า ตนจบนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ต่อไปนี้การนิรโทษกรรมอะไรก็แล้วแต่ ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นเพียงปาหี่ หลังจากนี้ทุกคนจะไปใช้ชีวิตในคุก พวกท่านอย่าเลียมากเกินไป เพราะในที่สุดพวกท่านจะไปอยู่กับหัวหน้าท่านในคุก
    "เมื่อกระแสธารแห่งประชาธิปไตยเข้ามา วันนั้นประชาชนจะเป็นผู้พิพากษา เมื่อนั้นโอกาสท่านเองจะไม่เหลือ จะไปใช้ชีวิตในคุก"
    เขากล่าวว่า เพิ่งไปขอนแก่น เพราะมีคดี 10 คดี ถือเป็นเกียรติ แต่ถึงที่สุด คสช.ไม่มีน้ำยาเอาตนเข้าคุก เพราะประชาชนยึดมั่นและยืนเคียงข้างต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ขอช่วยประกาศให้โลกรู้ถึงสัญลักษณ์ 3 นิ้ว ช่วยชูขึ้นเพื่อประจักษ์ว่าเราสู้ต่อไป นี่ไม่ใช่กิจกรรมสุดท้าย ตราบที่เรายังไม่ได้ประชาธิปไตย ใครที่ร่วมกับคสช. พวกท่านคือคนทรยศต่อแผ่นดินไทย 
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปราศรัยของนายรังสิมันต์ เกิดขึ้นหลังเวลา 20.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้ชุมนุมขอเอาไว้ว่าจะเลิกชุมนุมในเวลาดังกล่าว
         นอกจากนี้ มีการแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ จุดธูป 36 ดอก ปักโคนต้นไม้หน้ากองทัพบก เพื่อปัดเป่าความชั่วร้าย ระหว่างทางเมื่อมาถึงบริเวณถนนราชดำเนินกลาง ได้เกิดการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย โดยมีชายเสื้อแดงพยายามดึงรั้วกั้นออก ก่อนที่จะมีการผลักดันกันเล็กน้อย ไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา มีมือมืดจุดธูป 36 ดอก ปักอยู่ใต้กอดอกเข็มที่ปลูกล้อมรอบปืนใหญ่บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้ามาแล้ว  
    อย่างไรก็ตาม ขณะนั้นเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลทำพิธีไหว้เพื่อขอขมาและอโหสิกรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และองค์เทพเทวา ช่วยให้ชีวิตไม่ติดขัด ราบรื่น ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า รวมถึงขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งอดีตชาติ หรืออาจเคยล่วงเกินต่อเทพยดา
โดยความหมายธูป 36 ดอก หมายถึงไตรภูมิ 36 ชั้น ประกอบด้วย 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน อบายภูมิ 4 มนุษย์โลก 1 ซึ่งพิธีดังกล่าวจะต้องทำก่อนเที่ยงวัน และต้องปักธูปกลางแจ้ง 
โซเชียลหนุนให้คนไปเลือกตั้ง
กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ   ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “พลังสื่อโซเชียลกับการเมืองไทยยุค 4.0”  โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวน 1,192  คน พบว่า ประชาชนร้อยละ 67.8 เห็นว่าการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ พลังสื่อโซเชียล (IG, facebook, twitter) จะช่วยกระตุ้นให้เกิดกระแส ทำให้คนอยากออกมาเลือกตั้ง รองลงมาร้อยละ 58.4 จะช่วยติดตามกิจกรรมการรณรงค์การเลือกตั้ง และร้อยละ 53.6 จะช่วยสร้างช่องทางให้พรรคการเมืองนำเสนอนโยบายของพรรค
เมื่อถามว่า พลังสื่อโซเชียลมีผลอย่างไรต่อประชาชนในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย ส่วนใหญ่ร้อยละ 73.3 เห็นว่าทำให้รับรู้สถานการณ์การเมืองมากขึ้น รองลงมาร้อยละ 65.9 ทำให้การเมืองเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง และร้อยละ 52.1 ทำให้มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้นทั้งเป็นผู้รับและผู้ส่งสาร
สุดท้ายเมื่อถามว่า จะติดตามหรือไม่หากพรรคการเมืองหรือ กกต. มีการใช้สื่อโซเชียลประชาสัมพันธ์ข้อมูลการเลือกตั้งหรือการหาเสียง ส่วนใหญ่ร้อยละ 73.9 จะติดตาม ขณะที่ร้อยละ 16.8 จะไม่ติดตาม ที่เหลือร้อยละ 9.3 ยังไม่แน่ใจ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าฟังนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความฝ่ายจำเลยซักค้านพยานฝ่ายโจทก์ปากสุดท้าย ในคดีก่อการร้ายปี 2553 ว่า สาระสำคัญจากคำเบิกความในครั้งที่แล้วคือ พยานโจทก์ปากนี้ระบุว่า ตนเป็นคนประกาศให้มีการวางเพลิงสถานที่ต่างๆ ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 และมีการยุติการชุมนุม โดยทนายความของตนได้นำคลิปวิดีโอจำนวน 2 คลิปมาแสดงต่อศาล โดยเปิดให้พยานโจทก์ได้ดูไปพร้อมกันหน้าบัลลังก์ศาล     คลิปที่ 1 คือการปราศรัยที่เขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2553 ส่วนคลิปที่ 2 คือ การประกาศยุติการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เมื่อได้พิจารณาเนื้อหาสาระของทั้ง 2 คลิปแล้ว พยานฝ่ายโจทก์ยอมรับว่า คลิปที่ระบุคำพูดของตนที่บอกว่า เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเองนั้น เป็นการตัดต่อเพียงบางส่วนจากจำนวนความยาวทั้งหมด 24 นาที อีกทั้งพยานโจทก์ไม่ได้ดูคลิปดังกล่าวในฉบับเต็มมาก่อน
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ส่วนการประกาศยุติการชุมนุมนั้น ปรากฏชัดเจนว่าตนไม่ได้มีการยุยงปลุกปั่น หรือสั่งการให้มีการก่อเหตุรุนแรงใดๆ แต่กลับตรงกันข้าม เป็นการพูดให้ประชาชนผู้ชุมนุมเดินออกไปทางสนามศุภชลาศัยอย่างสงบ และให้เจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ ดูแลความปลอดภัยให้ด้วย
แกนนำ นปช.คนนี้กล่าวว่า ดังนั้นตนมองว่าในกระบวนการทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นพื้นที่ให้สื่อสารข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาของศาลได้อย่างครบถ้วน ทั้งขึ้นอยู่กับขั้นตอนของการสืบพยานจำเลยในโอกาสต่อไปเพื่อแสดงพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยังมีข้อเท็จจริงอีกหลายประการที่จะนำเสนอต่อไป
“ตลอดการสืบพยานโจทก์ที่ผ่านมาทั้งหมดจากคำเบิกความของพยานโจทก์นั้น ส่วนตัวมองว่าสิ่งที่มองเห็นหน้าบัลลังก์นั้นไม่รู้สึกว่ามีความกังวล เพราะ นปช. มั่นใจในข้อเท็จจริงที่มีอยู่ และมั่นใจในพยานหลักฐานที่รวบรวมไว้” นายณัฐวุฒิกล่าว และว่า อีกทั้งด้วยเจตนาและข้อเรียกร้อง รวมถึงความเคลื่อนไหวทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากมติของแกนนำ นปช. เป็นการชุมนุมโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ ภายใต้ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลในขณะนั้นยุบสภา ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นจึงขอยืนยันและมั่นใจในความบริสุทธิ์.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"