พี่สาวเจ็บใจ! น้องสาวถูกข่มขืนแต่ตำรวจไม่ดำเนินคดีให้ โพสต์เฟซบุ๊กเล่าเรื่องราวขอความเป็นธรรม ขณะที่ตำรวจชี้ฝ่ายหญิงเมาแล้วขับ แต่กรณีข่มขืนต้องตรวจสอบหลักฐานอย่างละเอียดอีกครั้ง
12 ก.พ.63 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกโซเชียลมีเดียและเพจต่างๆทั่วทั้ง จ.ขอนแก่น ได้มีการเผยแพร่ภาพจากผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ "TK Tassaneeya" ที่ได้มีการโพสต์ข้อความพร้อมคลิปและภาพนิ่ง รถจักรยานยนต์ และภาพคนเจ็บในโรงพยาบาล พร้อมข้อความว่า ”อุบัติเหตุรถชนกัน ผู้หญิงเจ็บแต่ถูกพาไปข่มขืน พอไปแจ้งความ ตำรวจปล่อยมันออกมา นี่มันถูกหรือผิด? ตกลงคดีข่มขืนเป็นเรื่องธรรมดา อุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนท้ายรถกระบะ ผู้หญิงขับจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บ แต่ผู้ชายคนขับกระบะแทนที่จะพาส่งโรงพยาบาล กลับลากไปข่มขืนข้างทาง พอไปแจ้งความกับตำรวจ ฝ่ายชายยอมรับสารภาพว่าข่มขืนจริง และผลการตรวจภายในก้อยืนยันว่าถูกข่มขืนจริง แต่ทำไมตำรวจถึงปล่อยตัวมันกลับบ้าน ทุกวันนี้ผู้หญิงโดนข่มขืนกลายเป็นเรื่องปกติหรือ"
ในเวลาต่อมาผู้สื่อข่าวจึงลงพื้นที่พบกับครอบครัวผู้ๆด้รับบาดเจ็บและคนเจ็บที่ปรากฎตามคลิปภาพดังกล่าว ที่ อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น เมื่อเดินทางไปถึงพบกับ น.ส.บี อายุ 21 ปี ผู้ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่บนแคร่ ซึ่งทางพ่อแม่และพี่สาวคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
น.ส.บี บอกว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่อยู่ห่างจากบ้านตัวเองกว่า 10 กม. ช่วงเย็นจึงขับขี่รถกลับบ้าน ออกจากบ้านเพื่อนมาประมาณ 6 กม.ก็เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนท้ายรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จนรถจักรยานยนต์ล้มกลางถนนขณะนั้นมีชายหญิงขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาจะเข้าช่วยเหลือ แต่ชายอายุประมาณ 25-30 ปี ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์กระบะลงมาดูและบอกว่า จะดูแลและช่วยเหลือเอง ชายหญิงคู่ดังกล่าวเห็นว่าไม่มีอะไร จึงพากันขี่รถจักรยานยนต์จากไป แต่หลังจากชายหญิงคู่ดังกล่าวจากไปแล้วชายคนขับรถยนต์กระบะได้ลากตนเข้าไปในป่าข้างทางและทำการข่มขืนจนสำเร็จความใคร่
"ช่วงที่รถเกิดอุบัติเหตุ ร่างกายด้านซ้ายกระแทกพื้น และรถจักรยานยนต์ก็ล้มทับขาซ้าย ขณะนั้นมีพลเมืองดีผ่านมาพบเจอ แต่คนขับรถยนต์บอกว่า จะช่วยเหลือและดูแลเอง พลเมืองดีน่าจะเห็นว่าคู่กรณีตกลงกันได้ ก็เลยขับขี่รถออกไป ขณะเดียวหนูก็โทรศัพท์บอกเพื่อน บอกพี่สาวว่าเกิดอุบัติเหตุ แต่ช่วงจังหวะนั้นหนูปวดฉี่ หนูจะเดินไปฉี่ที่ป่าข้างทาง ชายคนขับรถยนต์ได้เข้ามาช่วยพยุงพาเดินไปฉี่ เมื่อหนูฉี่เสร็จ คนขับรถยนต์ได้ปลุกปล้ำและทำการข่มขืนในป่าข้างสระน้ำ หนูพยายามร้องขอความช่วยเหลือและต่อสู้ แต่หนูเจ็บเนื้อตัวที่เกิดจากอุบัติเหตุ จึงไม่มีเรี่ยวแรงต่อสู้ ทำให้คนร้ายใช้กำลังข่มขืนจนสำเร็จ หลังจากนั้นคนขับรถยนต์พยายามจะหนี หนูจึงรั้งเอาไว้ด้วยการนั่งที่เบาะคนขับนานประมาณ 30 นาที เพื่อนและพี่สาวมาถึงที่เกิดเหตุ"
น.ส.บี บอกต่อว่า ขณะนั้นตนเองยังไม่กล้าบอกพี่สาวว่าถูกข่มขืน ส่วนคนขับรถยนต์เรียกญาติพี่น้องมาเคลียร์เรื่องอุบัติเหตุและเห็นว่าหนูมีอาการเมา จึงได้เรียกตำรวจมาที่เกิดเหตุ เพื่อจะจ่ายค่าทำขวัญให้ 500 บาท แต่ตกลงกันไม่ได้ ตำรวจจึงให้ไปที่ สภ.สีชมพู และส่งไปตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ รพ.สีชมพู พบปริมาณแอลกอฮอล์ ตำรวจจึงแจ้งข้อหากับตนเองในข้อหาเมาแล้วขับ
"จังหวะดังกล่าวหนูจึงตัดสินใจบอกพี่สาวว่า ถูกคนขับรถยนต์ข่มขืนในป่าข้างทางใกล้จุดที่เกิดอุบัติเหตุ พี่สาวจึงได้แจ้งตำรวจ ตำรวจจึงนำตัวคนขับรถยนต์ไปสอบสวน ซึ่งคนขับรถยนต์ก็รับสารภาพว่า ข่มขืนหนูจริง ตำรวจได้ส่งตัวหนูไปตรวจภายในที่ รพ.สีชมพูอีกครั้ง ซึ่งแพทย์ก็บอกว่า พบคราบอสุจิและมีร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศจริง แต่ตำรวจก็ปล่อยตัวคนขับรถไป ซึ่งหนูขอยืนยันว่า หนูจะไม่ยอมความและขอให้ตำรวจจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฏหมายให้ถึงที่สุด”
ด้าน น.ส.แก้ว อายุ 32 ปี พี่สาวผู้เสียหาย กล่าวว่า วันเกิดเหตุน้องสาวบอกว่าจะไปกินเลี้ยงที่บ้านเพื่อน จนถึงเวลามืดค่ำก็ยังไม่กลับบ้านจึงได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกตามหา กระทั่งรับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุบนถนนสายสีชมพู-ชุมแพ พื้นที่ บ.นายม ต.สีชมพู อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 6 กม. เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ เห็นรถจักรยานยนต์น้องจอดอยู่ข้างทาง ส่วนรถยนต์กระบะจอดหันหน้าไปทาง อ.ชุมแพ มีชายอายุประมาณ 25-30 ปี เป็นคนขับ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ทราบเรื่องที่คนขับรถกระบะข่มขืนน้องสาว ทราบเพียงว่าเกิดอุบัติเหตุเพราะน้องสาวมีอาการเมาสุรา ขับรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนท้ายรถยนต์ น้องสาวถูกตำรวจ สภ.สีชมพู นำตัวไปตรวจวัดแอลกอฮอล์ และพบว่ามีแอลกอฮอล์ในเลือด จึงถูกจับในข้อหาเมาแล้วขับ และให้ไปเสียค่าปรับที่ศาล ซึ่งในเรื่องนี้ทางครอบครัวยอมรับเพราะน้องสาวเมาจริง
"ครอบครัวไม่รู้เลยว่าน้องสาวถูกข่มขืน จนกระทั่งถึง สภ.สีชมพู น้องสาวจึงบอกว่าถูกคนขับรถยนต์ข่มขืนในป่าข้างทาง เมื่อรู้จึงรีบแจ้งตำรวจให้จับกุมคนขับรถยนต์รายดังกล่าว ซึ่งตำรวจได้นำตัวไปสอบสวน คนขับรถยนต์ก็สารภาพว่า ได้ข่มขืนน้องสาวจริง ในขณะเดียวกันก็ส่งตัวน้องสาวเราไปตรวจร่างกายที่รพ.แพทย์แจ้งด้วยวาจาว่า มีคราบอสุจิและมีร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่ตำรวจ สภ.สีชมพูกลับปล่อยตัวคนขับรถยนต์ไป โดยไม่มีการแจ้งข้อหาใดๆทั้งยังบอกกับทางครอบครัวว่า ไม่มีพยานหลักฐาน ไม่สามารถจับกุมตัวได้ จึงเป็นที่คลางแคลงใจเป็นอย่างมากว่า คนร้ายรับสารภาพต่อหน้าแท้ๆยังไม่สามารถทำอะไรได้ และยังไม่มีการสอบปากคำ ไม่มีการรับแจ้งความใดๆจึงอยากฝากถึงผู้บังคับบัญชาของตำรวจสภ.สีชมพูว่า ช่วยให้ความเป็นธรรมกับน้องสาวและครอบครัวเราด้วย คนร้ายรับสารภาพขนาดนี้ยังทำอะไรไม่ได้ ยังปล่อยคนร้ายกลับบ้านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และขอยืนยันว่า ครอบครัวเราจะเอาเรื่องตามกฏหมายให้ถึงที่สุด ไม่มีการไกล่เกลี่ย ยอมความเด็ดขาด"
ขณะที่ พ.ต.อ.จำรัส ไชยศักดิ์ ผกก.สภ.สีชมพู กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ต้องแยกออกเป็น 2 กรณีคือ กรณีเมาแล้วขับและกรณีข่มขืนอนาจาร ในส่วนของเมาแล้วขับนั้นมีการแจ้งข้อหากับ น.ส.บี ไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนกรณีข่มขืนนั้น ถึงแพทย์จะระบุร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ก็ใช่ว่าจะเป็นการข่มขืน ซึ่งในจุดนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องรวบรวมพยาน หลักฐาน และสอบสวนรายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากว่าการข่มขืนนั้นก็ต้องดูในรายละเอียดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นสมยอมหรือไม่ หรือข่มขืนด้วยเหตุใด แต่ขอยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |